คปภ. ลงพื้นที่ “ชุมชนบ้านกู่กาสิงห์” เคาะประตูบ้านนำระบบประกันภัยสู่ชุมชน
คปภ. เคลื่อนทัพ..! นำระบบประกันภัยบริการถึงประตูบ้านประชาชนผ่านโครงการ คปภ.เพื่อชุมชน ปีที่2 ประเดิมลงพื้นที่“ชุมชนบ้านกู่กาสิงห์” จังหวัดร้อยเอ็ด ประกาศร่วมกับชุมชนชู “กู่กาสิงห์อินชัวรันส์โมเดล”รณรงค์ทำประกันภัยภาคบังคับ(พ.ร.บ.) รถจักรยานยนต์ 100% ก่อนขยายผลไปยังชุมชนทั่วประเทศ พร้อมนำร่องให้ความรู้ประกันภัยแนวใหม่ จากกรณีศึกษาเหตุการณ์จริงในพื้นที่ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะนำระบบประกันภัยไปสู่ประตูบ้านของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ คปภ.เพื่อชุมชน โดยมีเป้าหมายหลักที่ต้องการให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ของประเทศ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างเหมาะสม ในขณะเดียวกันสำนักงาน คปภ.ก็จะมีเวทีเคลื่อนที่ผ่านโครงการนี้เพื่อแนะนำภารกิจและบทบาทหน้าที่ รวมถึงช่องทางการเข้าถึงบริการต่างๆของสำนักงาน คปภ. อันจะสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัยให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย ดังนั้น สำนักงาน คปภ.จึงได้จัด “โครงการ คปภ.เพื่อชุมชน” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัยแก่ชุมชน โดยคัดเลือกชุมชนที่มีวัฒนธรรมของตนเองที่เป็นเอกลักษณ์ มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง มีแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจ มีข้อมูลด้านเศรษฐกิจและภูมิสังคม รวมทั้งข้อมูลความต้องการด้านประกันภัยของชุมชน โดยปีนี้ได้มีการลงพื้นที่ชุมชนที่คัดเลือกในภาคต่างๆ รวมทั้งสิ้น 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านกู่กาสิงห์ จังหวัดร้อยเอ็ด ชุมชนท่าสะท้อน จังหวัดชุมพร ชุมชนโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู ชุมชนบ้านทุ่งเกวียน จังหวัดลำปาง และชุมชนบ้านปางขอน จังหวัดเชียงราย โดยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2561 ตนได้นำคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. ผู้แทนจากกองทุนประกันชีวิต กองทุนประกันวินาศภัย พร้อมภาคธุรกิจประกันภัย ลงพื้นที่ชุมชนบ้านกู่กาสิงห์ ตั้งอยู่ที่ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการลงพื้นที่ตาม “โครงการ คปภ. เพื่อชุมชนปี 2” โดยชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีรายได้หลักคือขายข้าวหอมมะลิ ทอผ้าไหม และรับจ้างไถนา (มีรถแทรกเตอร์ไถนามากที่สุด) และเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนที่เกิดจากงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่มีกิจกรรมการเรียนรู้ไม่ซ้ำแบบใคร ไม่ลอกเลียนแบบใคร มีฐานการเรียนรู้ 6 ฐาน ได้แก่ ฐานโบราณสถานขอม ฐานผ้าไหมพื้นบ้าน ฐานสวนเกษตรแบบพอเพียง ฐานพิพิธภัณฑ์มรดกภูมิปัญญา ฐานวรรณกรรมชาวบ้าน และฐานการฟื้นฟูการตัดลายกระดาษพื้นบ้าน ทั้งนี้เพื่อเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมและสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับชาวชุมชนบ้านกู่กาสิงห์ ในโอกาสนี้สำนักงาน คปภ. ได้จัดเวทีเสวนาให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่ชุมชนภายใต้หัวข้อ “ประกันภัยน่ารู้ สู่ชุมชน” โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงาน คปภ. อาทิ นายชัยยุทธ มังศรี ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ นางคนึงนิจ สุจิตจร ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย ดร.อายุศรี คำบรรลือ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และนายกี่เดช อนันต์ศิริประภาผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยมีนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค เป็นผู้ดำเนินรายการ สำหรับรูปแบบการให้ความรู้ด้านประกันภัยในครั้งนี้ได้นำร่องให้ความรู้จากการถอดบทเรียนกรณีศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่เพื่อให้ชุมชนเข้าใจถึงบทบาทของระบบประกันภัยที่เข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยง พร้อมเปิดเวทีไขข้อข้องใจและแนะนำในประเด็นต่างๆ เช่น กรณีการทำประกันภัยข้าวนาปี กรณีรถแทรกเตอร์ไถนา สามารถทำประกันภัยในรูปแบบใด เนื่องจากภายในชุมชนมีรถแทรกเตอร์ไถนาเป็นจำนวนมาก กรณีที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าของรถทุกคันต้องจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ซึ่งในโอกาสนี้ได้ประกาศเจตนารมณ์ “กู่กาสิงห์ อินชัวรันส์โมเดล” ร่วมกับผู้นำชุมชนฯนำร่องการรณรงค์ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (ประกันภัย พ.ร.บ.) รถจักรยานยนต์ 100% ภายในชุมชนบ้านกู่กาสิงห์ เพื่อเป็นชุมชนต้นแบบขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆทั่วประเทศในลักษณะการขับเคลื่อนรณรงค์จากฐานรากไปสู่ส่วนบน ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ มี ดร.อำคา แสงงาม ประธานชมรมการท่องเที่ยวบ้านกู่กาสิงห์ และคุณจันทร์ทิพย์ นาสุข ผู้นำชุมชนบ้านกู่กาสิงห์ ได้พาเยี่ยมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของผู้คนในชุมชน รวมทั้งเยี่ยมชมฐานการเรียนรู้ อาทิ ฐานโบราณสถานขอม ฐานผ้าไหมพื้นบ้าน ฐานสวนเกษตรแบบพอเพียง ฐานพิพิธภัณฑ์มรดกภูมิปัญญา ฐานวรรณกรรมชาวบ้าน และฐานการฟื้นฟูการตัดลายกระดาษพื้นบ้าน รวมทั้งจะมีการนำเทปบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้และการเสวนาไปออกรายการโทรทัศน์เผยแพร่ให้ประชาชนได้รับชมผ่านรายการโทรทัศน์ทีวีดิจิทัล ช่องอัมรินทร์ทีวี (ช่อง34) อีกด้วย เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า จากการลงพื้นที่ชุมชนบ้านกู่กาสิงห์ในครั้งนี้ นอกจากรับฟังสภาพปัญหาด้านประกันภัยของชุมชนแห่งนี้แล้ว ยังได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ.จังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยว่า จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่มีอัตราการทำประกันภัยข้าวนาปีสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดสุรินทร์ โดยมีพื้นที่ทำประกันภัยข้าวนาปีถึง 1.63 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 52.76 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมด โดยเมื่อปี 2560 พบว่าจังหวัดร้อยเอ็ดประสบปัญหาจากเหตุการณ์อุทกภัยและมีความเสียหายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากทำให้เกษตรกรผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือเยียวยาด้านการประกันภัยอย่างครอบคลุม โดยข้อมูลล่าสุดเกษตรกรได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำประกันภัยข้าวนาปีไปแล้วกว่า 305 ล้านบาท (Loss Ratio คิดเป็น 246.10%) ในส่วนของพื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย มีการทำประกันภัยข้าวนาปี /2561 ทั้งสิ้น 106,388 ไร่ จากเป้าหมาย 210,000 ไร่ และเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ประกาศให้พื้นที่อำเภอเสลภูมิ เป็นพื้นที่ภัยพิบัติเนื่องจากเกิดเหตุอุทกภัยมีฝนตกชุกหนาแน่นทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก เป็นเหตุให้น้ำท่วมขังในพื้นที่ 6 ตำบล ได้แก่ ตำบลวังหลวง ตำบลศรีวิลัย ตำบลภูเงิน ตำบลเหล่าน้อย ตำบลบึงเกลือ และตำบลนาแซง ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ว 16,531 ไร่ และคาดว่าจะเสียหายจริง 14,915 ไร่ โดยพื้นที่ของอำเภอเสลภูมิได้มีการทำประกันภัยข้าวนาปีไว้ 129,096 ไร่ จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ และในอนาคตเหตุการณ์เหล่านี้นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและครอบครัวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นจึงอยากให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้กับตนเองและครอบครัวเพิ่มมากขึ้น นอกจากการประกันภัยข้าวนาปีในจังหวัดร้อยเอ็ดแล้ว เห็นว่าการประกันภัยอีกประเภทหนึ่งที่ควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุกให้กระจายอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น คือ การประกันภัยรถยนต์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 หรือประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (ประกันภัย พ.ร.บ.) ซึ่งจากข้อมูลของจังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า รถยนต์ 162,002 คัน มีการทำประกันภัย พ.ร.บ. จำนวน 109,537 คัน คิดเป็นร้อยละ 67.61รถจักรยานยนต์ 235,240 คัน มีการทำประกันภัย พ.ร.บ. จำนวน 88,183 คัน คิดเป็นร้อยละ 37.49 จะเห็นได้ว่าจังหวัดร้อยเอ็ดมีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับอยู่ในระดับที่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงาน คปภ.จะเร่งให้ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด และในพื้นที่ทั่วประเทศได้เห็นความจำเป็นและประโยชน์ของการทำประกันภัยรถภาคบังคับต่อไป