ShowTimeUpdate Newsท่องเที่ยว B Tripสกู๊ปพิเศษแหล่งเที่ยวไลฟ์สไตล์

ช.ส.ท. จูงมือวัยเก๋า ย้อนวันวาน เยือนถิ่นโบราณนาม ”ศรีเทพ”สู่ “แผ่นดินพระนารายณ์ ฯ” แจมแหล่งเที่ยวใหม่

ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ช.ส.ท.)  จัดกิจกรรมพาสมาชิก ช.ส.ท.และสมาชิกวัยเก๋ากว่าหกสิบชีวิตย้อนอดีตสู่เมืองโบราณศรีเทพ เยือนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ลพบุรีและสัมผัสวิถีท่องเที่ยวใหม่สายจิตวิญญาณที่สระบุรี เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นำโดย นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานลพบุรี สำนักงานพระนครศรีอยุธยาและสำนักงานพิษณุโลก

โดยเริ่มกันแต่เช้าตรู่ของวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา รถโค้ชสองชั้นขนาดใหญ่ พาคณะมุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบูรณ์ สู่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อำเภอศรีเทพ Si Thep Historical Park ซึ่ง องค์การยูเนสโกเพิ่งประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 ณ กรุงริยาด ซาอุดิอาระเบีย



Day 1

#เมืองโบราณศรีเทพ

.. วันนี้ เมืองโบราณศรีเทพ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นับตั้งแต่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สิ่งแรกที่เห็นสำหรับผู้มาเยือนอย่างเราคือ “ความคึกคัก” สถานที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติ การจัดการพื้นที่ด้านหน้าเพื่อทำมาค้าขายของที่ระลึก การจัดรถรางเพื่อนำนักท่องเที่ยวเข้าร่วมชม หลายคนเคยมาเยือนตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ขณะที่หลายต่อหลายผู้คนไม่เคยได้รู้จักมาก่อน แต่วันนี้พร้อมจะฝ่าแดดแรงร้อนจ้าเข้ามาสัมผัสกับอิฐ หินทรายตั้งแต่สมัยเมื่อพันกว่าปีก่อน 













จากข้อมูลบอกว่า เมืองศรีเทพพัฒนาขึ้นมาจากชุมชนโบราณในยุค่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำลพบุรีเมื่อประมาณ 1,700-1,500 ปีมาแล้ว รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมภายนอก โดยเฉพาะวัฒนธรรมอินเดียและวัฒนธรรมเขมรโบราณ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรรมเข้าสู่สังคมเมืองในวัฒนธรรมทวารวดี และวัฒนธรรมเขมรโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 16-18) ลำดับพัฒนาการในแต่ละช่วงสมัยของเมืองโบราณศรีเทพแสดงออกถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ในเขตพื้นที่ศูนย์กลางของภูมิภาคตอนในของประเทศไทย ซึ่งเป็นชุมชนหรือเมืองโบราณภายในที่มีความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมมีการเลือกสรรพื้นที่ตั้งของชุมชนหรือเมืองที่สามารถควบคุมหรือเชื่อมโยงเครือข่ายการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือเส้นทางการค้าสมัยโบราณ ระหว่างพื้นที่ราบลุ่มภาคกางและที่ราบสูงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ...



และข้อมูลอีกมากมายเล่าขานผ่านไมโครโฟนบนรถรางให้เราได้รับฟังกันตลอดทาง จากประตูทางเข้าไม่นานนักเราก็แวะกันที่จุดแรก ที่อาคารหลุมขุดค้นทางโบราณคดี เป็นอาคารจัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์และโครงกระดูกช้างที่ได้จากการขุดค้นเมื่อปี 2531 ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนระยะแรกเริ่มสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีมากว่า 2,000 ปี





... “เรียบร้อยแล้วเชิญขึ้นรถต่อกันเลยนะคะ” น้องเจ้าหน้าที่ต้องเกณฑ์ไพร่พลนักท่องเที่ยวที่สาละวนกันบันทึกภาพ เรียกว่าเก็บกันทุกมุม



เรากลับกันขึ้นรถรางอีกครั้ง คราวนี้ไปยังปรางค์สองพี่น้อง เป็นสถาปัตยกรรมวัฒนธรรมเขมร ที่นี่สร้งขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู ราวพุทธศตวรรษที่ 17 ตอมาจึงได้เปลี่ยนเป็นศาสนสถานทางศาสนาพุทธลัทธิมหายานในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

“เราจะเห็นทับหลังบนยอดประตู ค่อนข้างสมบูรณ์คะ” น้องไกด์ชี้ชวนให้เราชม ที่นี่สวยงามและเข้มขลังอีกแห่งหนึ่ง บริเวณทางเดินรูปกากบาทข้างหน้าปรางค์สองพี่น้อง ค้นพบเทวรูปพระอาทิตย์ หรือสุริยเทพอีกด้วย















เราเดินละเรื่อยต่อมาก็พบกับปรางค์ศรีเทพ เป็นสถาปัตยกรรมในวัฒนธรรมเขมรเช่นกัน ลักษณะจะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ หันหน้าไปทาด้านตะวันตกในแนวแกนเดียวกับปรางค์สองพี่น้อง จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุที่พบโดเฉพาะทับหลังคาดว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดูราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เช่นเดียวกันกับปรางค์สองพี่น้องเพราะมีการพบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมที่เป็นเพียงโกลนอยู่เป็นจำนวนมาก







รวมถึงบริเวณที่ดูคล้ายจะเป็นดอกบัวโบราณขนาดใหญ่แกะสลักและการจัดตั้งทับหลังจัดวางติดป้ายจำลองเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกัน

“เอ้าเดินเรียงแถวกันมา อย่าแตกแถว... เดี๋ยวเราจะถ่ายภาพกันตรงนี้จ้า” วันนี้คณะคุณครูพาเหล่าสาวกตัวน้อยนับร้อยชีวิตเข้ามาเรียนรู้แหล่งประวัติศาสตร์เมืองมรดกโลกแห่งนี้เหมือนกับเรา





สมัยเด็กๆ บอกเลยว่าชอบมาก ถ้าครูมาบอกว่าพวกเธอรู้มั๊ย วันอาทิตย์หน้าเราจะมีพาไปทัศนศึกษากันนะ ที่.... ไม่ใช่อะไรหรอก ไม่อยากอยู่แต่ในห้องเรียน ครูให้ไปไหน... ดีใจหมด...  อิอิ  

วันนี้แอบเห็นสายตาน้องๆ ที่ตื่นเต้นกับการออกมาเมืองโบราณแห่งนี้แล้ว ปลื้มใจ ไม่ว่าจะเป็นเพราะตื่นเต้นที่ไม่ได้เข้าห้องเรียนเหมือนเรา หรือเพราะตื่นเต้นกับการได้ออกมาพบเจอกับแหล่งประวัติศาสตร์อันล้ำค่า แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความทรงจำในวัยเยาว์ได้บ้างไม่มากก็น้อย

โดยเฉพาะ ไอติม ใช่คะ... ไอศกรีมโบราณศรีเทพที่โด่งดังกันสุด ๆ ตอนนี้ ใครมาก็ต้องทดลองลิ้มชิมรส มีให้เลือกหลายรสชาติ งานนี้ได้รับอภินันทนาการจากชมรมฯ ที่จัดมาให้ชิมกันฟรี ๆ  หันไปเห็น เขาคลังนอก เลยนำมาถ่ายภาพให้ชมกัน ซะหน่อย









เขาคลังนอก เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ในวัฒนธรรมทวาราวดีตั้งอยู่นอกเมืองออกไปราว 2 กิโลเมตร สันนิษฐานว่ามีลักษณะเป็นมหาสถูป มีฐานขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยศิลาแลงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 ถือเป็นศาสนสถานที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์มากที่สุดในบรรดาศาสนสถานที่ร่วมสมัยเดียวกัน

“สมัยก่อนที่จะถูกประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลก สามารถเดินขึ้นไปถ่ายภาพได้ แต่ตอนนี้ห้ามแล้วคะ “ เพราะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เกรงจะทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับความเสียหาย



“อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพเปิดทุกวัน ระหว่างเวลา 8.30-16.30 โดยไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าธรรมเนียมเข้าชม คนไทยคนละ 20 บาทส่วนต่างชาติคนละ 100 บาท ยกเว้นสำหรับ ภิกษุสามเณร ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอื่น นักเรียน นักศึกษาในเครื่องแบบนักเรียน นิสิตนักศึกษา ฟรีคะ” เจ้าหน้าที่กล่าว 



#บ้านกล้วย & ไข่ Café 

 ด้วยเพราะอยู่ในพื้นที่โบราณศรีเทพ นานพอสมควรหลังทานอาหารกันเสร็จสรรพก็ตัดสินใจเดินทางกันไปที่ บ้านกล้วย & ไข่ คาเฟ่ ซึ่งอยู่ติดถนนใหญ่ก่อนถึงเขื่อนป่าสัก ตำบลหนองบัว อำเภอพนัสนิคม จังหวัดลพบุรีกันก่อน เพราะน่าจะไปไม่ทันพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์











ที่บ้านกล้วย & ไข่ คาเฟ่ แห่งนี้เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีการปลูกดอกทานตะวัน มีบริการทั้งอาหารและเครื่องดื่มให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือน มีรถกอล์ฟพาเที่ยวชม ซึ่งอยู่ด้านหลังคาเฟ่ เป็นทุ่งดอกไม้ ทุ่งดอกทานตะวัน ดอกดาวกระจาย  ถือเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด เพราะเป็นแหล่งปลูกดอกทานตะวันที่เปิดให้บริการถ่ายภาพได้ มีมุมผลไม้ยักษ์ตั้งเอาไว้ด้านหน้าให้ได้ถ่ายภาพกันเพลินๆ ค่าเข้าชมสวนคนละ 40 บาท เด็กไม่ต้องเสียค่าเข้าชม 











 

 

 





มีสวนสัตว์แบบเล็กๆ ให้ได้เที่ยวเล่นสนุกกับน้องสัตว์น่ารักๆ เป็นสถานที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจ มีพืชผักผลไม้ รวมถึงสินค้าแปรรูปต่างๆไว้เป็นของฝากมากมาย เลือกช็อปกันได้ที่ ร้านเปิดทุกวัน 07:00-20:00 น.



 และแล้วการเดินทางวันแรกก็จบลง....



DAY 2 

เช้านี้ คณะของเราเริ่มเดินทางกันแต่เช้าตรู่ เพื่อไปเยือนพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ โบราณสถานที่ที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองลพบุรี



#พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์

คณะสมาชิกสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว ช.ส.ท. ได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมจากคุณประภาพรรณ ศรีสุข ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ และ คุณสุวรรณา ศรุติลาวัณย์ รองผอ.ททท.สำนักงานลพบุรีมาร่วมให้ข้อมูล



บนเนื้อที่ประมาณ 43 ไร่ ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยผสมตะวันตก สมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดประทับ ณ เมืองลพบุรีเกือบตลอดปี เฉพาะฤดูฝนเท่านั้น จึงเสด็จไปประทับอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา









พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อประมาณปี 2208-2209 เนื่องจากในปี พ.ศ. 2207 เกิดกรณีพิพาทระหว่างฮอลันดากับไทย ฮอลันดาได้นำเรือมาปิดปากอ่าวไทยและบังคับให้ไทยทำสนธิสัญญาเสียเปรียบทางการค้าและเสียสิทธินอกอาณาเขต สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่ากรุงศรีฯ ตั้งอยู่ติดรอมแม่น้ำใหญ่ ไม่ห่างจากทะเลและด้วยเหตุผลทางการเมืองภายในประเทศ ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังที่เมืองลพบุรีใช้เป็นราชธานีที่สอง







 





 

 













เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต พ.ศ. 2231 พระราชวังถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้ซ่อมแซมพระรางวัลเดิมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี พ.ศ. 2399 โปรดให้สร้างพระที่นั่งเพิ่มขึ้นและพระราชทานชื่อพระราชวังนี้ว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์”



พระที่นั่งและตึกที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

พระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นพระที่นั่งซึ่งตรงกับบันทึกชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี เป็นสถาปัตยกรรมไทยแท้ ลักษณะคล้ายโบสถ์หรือวิหาร ด้านหน้ามีมุขเด็จ เพื่อเสด็จออกให้ข้าราชการเข้าเฝ้าตรงชาลาหน้าพระลาน เมื่อพระราชวังถูกทิ้งร้าง เครื่องบนพระที่นั่งปรักหักพังเหลือแต่ผนัง ได้รับการซ่อมแซมให้สมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4

พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งท้องพระโรงทรงสูง มียอดแหลมทรงมณฑป ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชรเป็นที่เสด็จออกเพื่อทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า ฝาผนังประดับด้วยกระจกเงาซึ่งนำมาจากฝรั่งเศส ประตูและหน้าต่างท้องพระโรงซึ่งอยู่ทางด้านหน้าทำเป็นโค้งแหลม ส่วนตัวมณฑปที่อยู่ด้านหลังทำประตูหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ผนังพระด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่าง เจาะเป็นช่องโค้งแหลมไว้สำหรรับตามประทีปในเวลากลางคืน









นอกจากนี้ยังมีพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ที่ประทับส่วนพระองค์ และตึกเลี้ยงรับแขกเมือง ตึกพระเจ้าเหา สิบสองท้องพระคลัง หมู่ตึกพระประเทียบ ทอมหรือที่พกของทหารรักษาการณ์

เรียกว่า ถ้าจะเข้ามาที่นี่ต้องให้เวลากับการมาเยือนเป็นอย่างมาก เพราะมีหลายต่อหลายส่วนที่น่าสนใจและน่าเยี่ยมชม





#ตลาดหัวปลี 

หลังจากนั้นก็ไปทานอาหารกลางวันกันต่อที่ ตลาดหัวปลี ตลาดสร้างสุข บ้านพุแค ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน อยู่จังหวัดสระบุรี เรียกว่าใครสายกรีนน่าจะชอบใจเพราะคุณจะได้พบกับผักพื้นบ้านและผักปลอดสารพิษ ผลไม้ตามฤดูกาลในราคาย่อมเยาที่นำมาจากชุมชนในท้องถิ่น สถานที่ก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ สวนไผ่และนาบัว







“เราจะทานข้าวกันที่นี่ สามารถเลือกทานได้ตามชอบใจและเลือกช้อปผักสด ผลไม้หรือของฝากได้”เจ้าหน้าที่บอกกับคณะของเราเมื่อมาถึง

จากทางเข้าด้านหน้าจะพบกับร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชน ที่มีให้เลือกหลากหลาย ก่อนจะเข้าสู่ภายในที่จัดโซนเป็นร้านอาหาร ทั้งข้าวแกง ขนมจีน ลาบหัวปลี ข้าวเม่าทอดโบราณ แหนมเนืองผักสด หรือจะเป็นอาหารจานเดยวอย่างข้าวผัดกระเพรา ข้าวผัดไข่ ขนมนมเนยต่างๆ



 





นอกจากนี้ยังมีดนตรีโฟล์คซองขับกล่อมให้เพลิดเพลินกันในช่วงวันหยุดราชการ วันเสาร์ อาทิตย์

... อะแฮ่มและที่สำคัญ มีกิจกรรมรำวงย้อนยุค ซึ่งพ่อค้าแม่ขายต่างร่วมแรงร่วมใจ ร่วมเต้นสร้างความสนุกสนาและผ่อนคลายให้กับผู้มาเยือน โดยใครร่วมกิจกรรมรำวงหมดรอบก็จะได้รับไอศกรีมทานกันฟรี ๆ อีกด้วย









นับว่าวันนี้ ตลาดหัวปลี กลับมาคึกคัก ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง หลังจากผ่านสถานการณ์โควิดที่ทำให้ซบเซาไปถึงสองปี ที่นี่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวกันแบบครอบครัวและหมู่เพื่อนฝูงอีกทั้งการเดินทางไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ เลย

#หอมนสิการ ธรรมะแกลลอรี่.... คอมมูนิตี้กลางหุบเขา 

อุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนกันเป็นหอบๆ เรียบร้อยก็เริ่มเดินทางกันต่อ ว่าที่จริง การเดินทางของคณะสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว ช.ส.ท. ในครั้งนี้ ได้นำนักท่องเที่ยวผู้สูงวัยร่วมเดินทางมาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพก็ว่าได้ เพราะแต่ละท่านกระเป๋าหนัก กำลังซื้อสูง เรียกว่าอุดหนุนสินค้าในทุกๆ ที่ที่เดินทางไปถึง สร้างรอยยิ้มทั้งคนขายและคนซื้อกันถ้วนหน้า

เอ้าเดินทางกันต่อ คราวนี้ไปที่ “หอมนสิการ” สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมรูปแบบใหม่แห่งแรกของไทยและของโลก เกิดขึ้นจากแนวคิดของอ.อัจฉราวดี วงศ์สกล ประธานมูลนิธิโนอิ้ง บุดด้า เพื่อการปกป้องพระพุทธศาสนา เพื่อการสืบสานธรรมปกป้องพระเกียรติพระบรมศาสดาและปลุกจิตสำนึกที่ดีงามให้แก่ปวงชน







ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระบรมโลกนาถ พระบรมสารีริกธาตุ ภาพปักพระบรมโลกนาถ ศิลปะงานปักมือ 651,000 ฝีเข็ม และนิทรรศการร่วมสมัยจำลองมรรคาและคำสอนของพระบรมศาสดา ใช้เวลาในการออกแบบก่อสร้าง ตกแต่งจัดทำนิทรรศการนานถึงห้าปี เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปี 2565



 

















ที่นี่เป็นที่ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 25 สถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนประจำปี 2566 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดเป็นอันดับ 1 จากแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด 77 แห่ง ทั่วประเทศ

#วัดแก่งคอย 

หลังจากเยี่ยมชม หอมนสิการ เราเดินทางกันต่อไปยังวัดแก่งคอย เพื่อไปกราบสักการะพระนอนองค์ใหญ่ พระมหาธาตุเจดีย์ศรีป่าสักและเยี่ยมชมพระธาตุอินทร์แขวนจำลอง ซึ่งอยู่เหนือถ้ำปู่นาคาวังพญานาค ภายในถ้ำถูกตกแต่งด้วยแสงสีสวยสดงดงาม อีกทั้งปูนปั้นพญานาคที่ออกแบบให้เลื้อยลัดกวัดไกวหางลากยาวน่าเกรงขามตระการตา









 

ถือเป็นหนึ่งไฮไลท์ของการเข้ามาเยือนวัดแก่งคอยแห่งนี้ ที่ไม่ควรพลาดจริงๆ



DAY 3 

ด้วยเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับทริปเยือนเมืองโบราณ ผู้บริหารโรงแรมแวลเลย์การ์เดนท์รีสอร์ท มวกเหล็ก โรงแรมระดับ 4 ดาว ในเมืองมวกเหล็ก ได้ออกมาส่งคณะอย่างเป็นกันเอง ต้องบอกว่าโรงแรมแห่งนี้อะเมซิ่งสำหรับเราพอสมควร ตั้งแต่สถานที่ตั้งซึ่งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ สงบร่มเย็นเป็นธรรมชาติ สะอาดสะอ้าน มีพื้นที่กว้างขวาง อีกทั้งห้องพักขนาดใหญ่ เตียงนอนนุ่มสบาย ทำให้เป็นหนึ่งในที่พักที่หลายคนชื่นชอบ หากใครมาเยือนจังหวัดนี้เราแนะนำไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะห้องพักที่มีห้องน้ำแบบโอเพ่นแอร์ ใกล้ชิดธรรมชาติดีแท้











#สวนมิ่งมงคล

ไปกันต่อเลย คราวนี้เราไปกันที่ สวนมิ่งมงคล ที่นี่แบ่งออกเป็นหลายโซน โซนด้านหน้ามีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ เป็นอาคารจัดแสดงถาวร เกี่ยวกับพระกรณียกิจขององค์รัชกาลที่ 9 นอกจากนี้ยังมีแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตรแบบทดลอง ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  มีศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนา หอชาวนาโคกนาศัย มีมุมกาแฟติดริมน้ำให้ชมชิมกันได้ตามอัธยาศัย



 







#ศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนาโมเดล โคกนาศัย 

ส่วนที่น่าสนใจสำหรับคณะผู้มาเยือนอีกแห่งหนึ่งคือ ศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนาโมเดล โคกนาศัย เราเดินทางมาที่นี่เพื่อทานอาหารกลางวันที่ทำขึ้นโดยชาวบ้านในชุมชน ภายใต้การนำของคุณวนิดา ดำรงไชย ที่รวมกลุ่มชาวบ้านในชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ใครถนัดด้านการทำอาหาร ใครถนัดเรื่องทำผลิตภัณฑ์ ใครถนัดเรื่องอะไรก็จะนำมาให้บริการกับนักท่องเที่ยว

























ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งช้อปปิ้งของคณะผู้สูงวัยและสื่อมวลชน ที่ช่วยกันอุดหนุนจนทั้งผลไม้ สินค้าต่างๆ แฮนด์เมด หมดในพริบตา

และที่สุดท้ายที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมคือ วัดพระพุทธบาท ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธฉาย มีลักษณะเป็นภาพเลือนราง ประทับอยู่หน้าผาเชิงเขา คล้ายกับพระพุทธรูปยืน จึงเรียกอีกหนึ่งอย่างว่า “เงาพระพุทธเจ้า”



... การมาร่วมย้อนอดีตสู่เมืองโบราณศรีเทพ เยือนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ลพบุรีและสัมผัสวิถีท่องเที่ยวใหม่สายจิตวิญญาณที่สระบุรีกับชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่อยากแชร์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางในช่วงเวลาสั้นๆ กับจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ...เดินทางกับกลุ่มเพื่อน ...เดินทางกับครอบครัว ถือว่าเป็นหนึ่งเส้นทางที่ไม่ทำให้ผิดหวัง ... ร่วมจดบันทึก ...เก็บเกี่ยวความทรงจำไปด้วยกัน กับ บี ทริปนิวส์ คราวหน้าจะไปที่ไหน ?  โปรดติดตาม ....  

นาริฐา จ้อยเอม เรื่อง / ภาพ