“บิ๊กอู๋”บินถก“เต็ง ส่วย”เจรจาความร่วมมือจ้างแรงงานประมงทะเลตามเอ็มโอยู
รมว.แรงงาน เจรจาความร่วมมือนำเข้าแรงงานประมงตามเอ็มโอยู กับ รมว.แรงงานฯ เมียนมา กระชับความร่วมมือจ้างแรงงานประมงทะเล เป็นแนวปฏิบัติตามกฎหมายที่ชัดเจน![]()
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน และคณะ เดินทางไปสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อหารือข้อราชการด้านแรงงานกับนายเต็งส่วย (H.E.U Thein Swe) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมือง และประชากร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ณ กระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมือง และประชากร กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมีประเด็นสำคัญของการเจรจาหารือในครั้งนี้ เช่น ประเด็นที่แจ้งให้ฝ่ายเมียนมาทราบเรื่องการขยายการทำงานให้แรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเลกลุ่มมาตรา 83 จากเดิมที่จะหมดอายุวันที่ 30 ก.ย.61 ขยายอีก 2 ปี จนถึง 30 ก.ย.63 ซึ่งมีเป้าหมายดำเนินการ 11,000 คน ซึ่งเป็นแรงงานเมียนมา 2,209 คน โดยแรงงานที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วต้องมารายงานตัวตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค.-30 ก.ย.61 ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดที่ติดทะเล
![]()
นอกจากนี้ ยังได้หารือในประเด็นการนำเข้าแรงงานประมงตาม MOU รวมทั้งความคืบหน้าการเปิดศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้างที่ฝ่ายไทยจะเปิดดำเนินการที่จังหวัดระนอง เพื่อเป็นช่องทางการส่งแรงงานในกิจการประมง รมว.แรงงาน ยังได้มอบหมายให้นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน อธิบดีกรมการจัดหางาน และเจ้าหน้าที่ได้หารือในรายละเอียด เพื่อให้ได้แนวปฏิบัติในการจ้างแรงงานที่ชัดเจน ปัจจุบันแรงงานประมงทะเลที่ขาดแคลนจำนวน 53,649 คน เป็นแรงงานกลุ่มมาตรา 83 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว 11,000 คน เป็นเมียนมา 2,209 คน ลาว 177 คน และกัมพูชา 8,614 คน การหารือครั้งนี้ทำให้เกิดความร่วมมือที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในการจัดส่งแรงงานตาม MOU เพื่อให้กระบวนการจ้างแรงงานมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เป็นประโยชน์ต่อชาวเมียนมาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ได้รับความคุ้มครองตามหลักกฎหมายไทย รวมทั้งยังลดความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของกระบวนการค้ามนุษย์และการถูกเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ ได้อีกด้วย