บทความพิเศษโดย ดร.กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
การศึกษามีความสำคัญยิ่งในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะการศึกษามีหน้าที่ในการสร้างความรู้ และสร้างคนให้ประสบความสำเร็จในการการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ การศึกษาช่วยเปลี่ยนสถานะและช่วงชั้นทางสังคมให้กับคน และมีผลต่อการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุดังกล่าวทิศทางของการจัดการศึกษาที่ผ่านมาจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสให้ทุกคนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน โดยเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพ และระบบการจัดการศึกษาต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนของการจัดสรรทรัพยากร การสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน การดูแลสถานศึกษา และระบบบริหารจัดการโดยรวม
อย่างไรก็ตามความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มีลักษณะของปัญหาทั้งในเเง่มุมของ การขาดการศึกษาจึงทำให้มีความเหลื่อมล้ำในสังคม และการที่สังคมเหลื่อมล้ำจึงทำให้โอกาสการเข้าถึงการศึกษาไม่เท่าเทียมกัน โดยในประเทศไทย ปัจจุบันพบว่าความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี หรือองค์ประกอบอื่นๆทางสังคม มีไม่มากนัก ต่างจากในหลายๆประเทศ
แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภายใต้ระบบการแข่งขันที่เสรีและไร้พรมแดน ที่สร้างความเหลื่อมล้ำให้เกิดขึ้นในสังคม คนร่ำรวยมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรได้มากกว่าคนยากจน โดยพบว่าความเหลื่อมล้ำของรายได้ประชากร ในกลุ่มคนรวยและคนยากจน มีช่องว่างมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางการศึกษา ปัญหาของระบบข้อมูลสารสนเทศการศึกษาของประชากรรายบุคคลที่ยังไม่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน ทำให้รัฐไม่สามารถจัดสรรโอกาสและให้บริการทางการศึกษาแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง ประกอบกับความแตกต่างด้านสถานะของครัวเรือน เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเข้าถึงบริการการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำและขาดความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น ดังสะท้อนออกมาให้เห็นจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในแต่ละช่วงชั้นที่แตกต่างกัน ระหว่างสถานศึกษา ที่มีขนาดต่างกัน หรือที่ตั้งของสถานศึกษาต่างกัน ในเมืองและพื้นที่ห่างไกล
รวมทั้งสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้เรียน ส่งผลไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น เด็กมีพัฒนาการไม่สมวัย อัตราการออกกลางคันสูง ปัญหายาเสพติด หรือการใช้ความรุนแรง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจมีผลกระทบหลักต่อความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศ
แผนการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2560 - 2579 ได้ตระหนักถึงปัญหาสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งกระทบโดยตรงต่อโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา จึงได้กำหนดหลักการไว้ว่า การเพิ่มโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาของผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย เป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำจะต้องทำให้สถานศึกษาทุกแห่งทั้งในเมือง ชนบท และพื้นที่ห่างไกลมีคุณภาพและมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน จัดให้มีระบบสนับสนุน และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ต้องดูแลกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ทั้งเด็กปกติ พิการ ยากไร้ และด้อยโอกาส ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิตัล ในการบริหารและการจัดการเรียนการสอน โดยไม่จำกัดรูปแบบ เวลา และสถานที่
โดยมียุทธศาสตร์สำคัญได้แก่
1) ผู้เรียนทุกคนได้รับโอกาสและความเสมอภาค ในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
2)เพิ่มโอกาสทางการศึกษาผ่านเทคโนโลยีดิจิตัลเพื่อการศึกษา สำหรับคนทุกช่วงวัย
3)มีระบบข้อมูลรายบุคคลและสารสนเทศที่ครอบคลุม ถูกต้อง เป็นปัจจุบันเพื่อการวางแผนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งแนวคิดทั้งสามเรื่องนี้ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องภายใต้บทบาทภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่ร่วมจัดการศึกษาทุกหน่วยงาน
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากมีปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID ส่งผลให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนในมิติของความเท่าเทียม และความเสมอภาคทางการศึกษาเกิดขึ้น นั่นคือมีนักเรียนตกหล่น ออกกลางคัน หรือหลุดออกจากระบบมากขึ้น มีปัญหาการเรียนที่ไม่เต็มที่ เพราะไม่สามารถเรียนที่โรงเรียนด้วยระบบ onsite ได้ตามปกติ และต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตจะเกิดปัญหาความถดถอยของความรู้ และการลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขันของคนไทย
กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญที่จะแก้ปัญหา เพื่อดูแลเด็กตกหล่น เด็กออกกลางคัน หรือมีปัญหาอันได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ โดยได้มีการกำหนดแนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้วยการปักหมุดค้นหาเด็กพิการ เด็กตกหล่น เด็กออกกลางคัน จากนั้นได้กำหนดกิจกรรม พาน้องกลับห้องเรียน โดยมีการเชื่อมโยงบูรณาการ การทำงาน และส่งต่อผู้เรียน ระหว่างหน่วยงานของกระทรวง ได้เเก่ สพฐ. อาชีวะ สช.และกศน. โดยมีศึกษาธิการจังหวัดเป็นหน่วยประสาน เพื่อให้เด็กได้กลับมาสู่ระบบการศึกษาอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
Post Views: 43