Update Newsท่องเที่ยว B Tripแหล่งเที่ยวไลฟ์สไตล์

พาเหรดความสุข แฮปปี้สุดสุด ที่ Jeju กับ True World Travel

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ทีมงาน บีทริปนิวส์ ร่วมเดินทางไปกับบริษัท ทรู เวิลด์ เทรเวล ที่บริหารงานภายใต้ผู้บริหารหญิงแกร่งอย่าง คุณปลา พธู ณ สงขลา บริษัทที่ได้รับความไว้วางใจทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวไปยังเกาหลีใต้ โดยเช่าเหมาลำสายการบินเจจูแอร์บินตรงจากกรุงเทพฯ ถึงเกาะเจจู เพียงผู้เดียว ปัจจุบันเพิ่มเส้นทางท่องเที่ยว ทั้งเกาะเจจู โซน ปูซาน เรียกว่าแหล่งเที่ยวสำคัญ ๆ ที่ได้รับความสนใจจากผู้ที่อยากเดินทางไปสัมผัสกับบรรยากาศของเกาหลีไม่ผิดหวัง



ขบวนพาเหรดแห่งความสุขเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 10 – 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งปกติการบินไปเที่ยวเกาะเจจูมีบินทุกวัน และโปรแกรมก็มีให้เลือกหลากหลาย สำหรับเราครั้งนี้จะไปสัมผัสกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สะพรั่งกันทั้งเกาะ ทั้งริมถนนหนทาง บนเขาสูง หรือแม้แต่บนวัดที่เราจะไปกัน

โดยจุดนัดพบแรกที่สนามบินสุวรรณภูมิ เราพบกับคุณปลา พธู ที่คอยรอต้อนรับให้คำแนะนำกับทางลูกค้าคนไทยที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน นัดหมายกันตอน 23:30 เรียกว่านอนหลับกันให้เต็มอิ่มบนเครื่องใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง ไปถึงเช้าที่สนามบินเชจูอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต   ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วก็เดินตัวปลิวไปรอรับกระเป๋าที่สายพานได้เลย







ซึ่งในช่วงนี้ สิ่งที่จำเป็นสำหรับคนไทยนอกจากจะเป็นเรื่องของพาสปอร์ตแล้ว คือการตรวจ K-ETA หรือ Korea Electronic Travel Authorization ระบบออนไลน์ที่ทำขึ้นเพื่อคัดกรองผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศไปยังเกาหลีใต้โดยไม่ต้องขอวีซ่า  ซึ่งเป็นลงทะเบียนการยืนยันการตรวจวัคซีนโควิด -19 โดยต้องส่งเรื่องเข้าไปลงทะเบียนผ่านเว็ปไซต์ www.k-eta.gp.kr    หรือผ่านทางแอปพลิเคชั่น K-ETA กรอกข้อมูลรายละเอียดอีเมล หนังสือเดินทาง ประวัติส่วนตัว และชำระค่าธรรมเนียม 10,000 วอน หลังจากนั้นก็รอผลการตรวจสอบข้อมูลเพื่อเช็คว่าเราไม่เป็นผีน้อยแน่นอน โดยตรวจสอบผลการสมัคร K-ETA ผ่านทางอีเมล ไม่ยากตรงนี้ตอนแรกเราเองก็กังวล แต่พอเข้าอากู๋ google ก็ทำได้เพราะมีคนไทยโพสต์เป็นภาษาไทยทีละขั้นตอน

หลังจากนั้นก็จะมี QR CODE เอามือถือแสดงโชว์ให้ตม.ดูก็ผ่านฉลุย แต่ต้องย้ำกันก่อนว่า ต้องลงทะเบียนและผ่านแล้วนะคะ ไม่งั้นคุณอาจจะไม่ได้แม้แต่เดินทางด้วย อย่าว่าแต่เข้าประเทศเขาเลยคะ

Day 1 ที่ เกาะเจจู

 

เดินใส่แมสทยอยกันลงไปสนามบิน น้องสตางค์ ไกด์คนไทย บัส 1 ก็มารอต้อนรับคณะของเราอยู่ จริงๆ ตั้งแต่ก่อนการเดินทาง เจ้าหน้าที่ของทรู เวิลด์ฯ จะส่งเอกสารรายละเอียดการเดินทาง เลขที่รถบัส ชื่อโรงแรมที่พัก มาให้เรียบร้อย แค่เดินเอากระเป๋าจากสายพานมารวมกัน แล้วก็แยกย้ายไปแปรงฟันล้างหน้า ส่วนสาว ๆ ก็นานหน่อย ต้องแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าทำสวยกัน เพราะบางคนใส่ชุดนอนขึ้นเครื่องกันมาเลย 555 ถือว่าทำการบ้านมาดีคะ นอนสบายดี อิอิ



จุดหมายแรกของทริปนี้คือ กินคะ ใช่กองทัพเดินด้วยท้อง มื้อแรกบนเกาะเจจู เป็นโจ๊กหอยเป๋าฮื้อเสริฟร้อนๆ เมนูขึ้นชื่อของเกาะเจจู เรียกกันว่า Jeon Bok Juk  เป็นการผสมไส้หอยเป๋าฮื้อหรือเครื่องในของหอยมาผสมกับโจ๊กเลยสีออกมาเป็นโจ๊กสีเขียว ตอนแรกคิดว่า ใส่ใบเตยป่าวเนี่ย ? 555 รสชาติของโจ๊กถูกปรุงพิเศษไว้แล้วแทบไม่ต้องปรุงอะไร พร้อมกับใส่ตัวหอยเป๋าฮื้อตัวพอดีคำมาให้ด้วย เป็นเมนูอร่อยดีเหมือนกัน แถมยังบอกว่าเพิ่มกำลังวังชา ขจัดขี้ตาตอนเช้าได้อีกด้วย



 

ไร่ชาเขียวโอซุลล็อค 

มาว่ากันที่แรกเลยดีกว่า ที่ไร่ชาเขียวโอซุลล็อค O'Sulloc  ที่นี่ปลูกชาเขียวคุณภาพสูงบนพื้นที่กว้าง ด้วยสีเขียวตัดขับกับสีท้องฟ้า ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งชาวเกาหลีเองและชาวต่างชาติ โดยแบ่งออกเป็น โซน ไร่ชากลางแจ้ง ที่ติดกับบริเวณลานจอดรถ





จากโซนปลูกชาข้ามถนนมาก็เป็นส่วนของ  โซนพิพิธภัณฑ์ ที่มีการจัดแสดงเรื่องราวของชา ด้านบนสุดของพิพิธภัณฑ์เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่เห็นความอลังการของไร่ชา นอกจากนี้ก็มีร้านคาเฟ่และร้านขายของฝาก เดินเยี่ยมชมกันได้ทุกโซน แต่ส่วนใหญ่จะเดินเข้าไปยังโซน คาเฟ่ เพื่อชิมชาและ โดยเฉพาะไอศกรีมชาเขียว เค้กโรล เครื่องดื่มชาเขียวก็มีทั้งร้อนและเย็น รับประกันความฟิน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ถึงแหล่งผลิต



 



 

 

ไกด์สตางค์บอกว่า เกาะเชจูเป็นดินแดนที่ได้รับของขวัญจากธรรมชาติ ผสมผสานกับนวัตกรรมสมัยใหม่ ทำให้ชาที่นี่ส่งออกไปขายทั่วโลก





 



ถัดมาเป็นสวนส้มไร้เมล็ด ( Jeju Orange Farm) บางคนบอกทำไมต้องสวนส้ม เพราะ ส้มที่ปลูกบนเกาะเจจู มีความพิเศษตรงที่รสชาติความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ ปลอดสารเคมีและลูกดกมาก รสชาติกลมกล่อม มีวิตามินซีสูง ชาวบ้านบนเกาะนี้นิยมปลูกกัน ที่สำคัญคือเป็นส้มไร้เมล็ด



 









ปัจจุบันหลายบ้านที่ปลูกสวนส้ม เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปได้ ขอชิมได้ ส้มสดๆ จากต้น จากสวน ถือเป็นอีกกิจกรรมยอดฮิต เมื่อมาเยือนเกาะเชจู ช่วงฤดูกาลส้มเลยทีเดียว 1ปี  มี1ครั้ง คือช่วงหน้าหนาวเท่านั้น



วัดซันบังโพมุนซา

เรียกว่า คนไทยไม่ว่าจะกรุ๊ปไหนก็ต้องเข้ามาสักการะองค์หลวงพ่อโอสถไพรี (ถือถ้วยโอสถ) กันก่อนท่องเที่ยวบนเกาะ เพราะเป็นพระใหญ่ที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเกาะเจจูส่วนใหญ่นิยมมาขอพรเรื่องของสุขภาพและความร่ำรวยเงินทอง







วัดแห่งนี้ถือว่าตั้งอยู่บนฮวงจุ้ยสุดยอด ด้านหลังติดเขาซันบัง ด้านหน้าหันออกสู่ทะเล คนไทยจำนวนมากมาขอพรและสำเร็จไปหลายราย นั่นทำให้เป็นที่กล่าวขวัญกัน ที่นี่นิยมทำบุญด้วยการถวายข้าวสาร เทียน พร้อมกับการหมุนระฆังทองคำรอบฐานองค์พระเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังจะเห็นได้นอกจากจะมีวิธีการเขียนที่แปะเป็นภาษาไทยเอาไว้ เจ้าหน้าที่ยังพอฟังเราออก เมื่อถามว่า ข้าวสารกับเทียนกี่วอน สามารถตอบเป็นภาษาไทยได้เลย อิอิ



ที่วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่ชาวเกาะเจจู เลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับเรา มากี่ครั้งก็ต้องเข้ามานมัสการเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเสมอ



 

นอกจากนั้นรูปปั้นพระแม่กวนอิมซึ่งหันหน้าออกสู่ทะเล ยังเป็นอีกหนึ่งศรัทธาของผู้ที่นับถือ  เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต ไม่ใช่แค่ชาวพุทธเท่านั้นที่ นิยมมาเยี่ยมชมที่วัดแห่งนี้ เพราะความสงบและวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาด



คามิลเลีย ฮิลล์  (Camellia Hill The Forest of love and healing)

หลังขอพรเสร็จสรรพก็เดินทางกันต่อไปที่ คามิลเลีย ฮิลล์ สวนดอกไม้แห่งความรักและการพักผ่อน ต้องบอกว่าที่นี่สวยงามทุกฤดูจริงๆ เริ่มจากการปลูกต้นคามิลเลียที่ออกดอกในช่วงฤดู หนาว ด้วยความรักในดอกไม้จึงปรับเปลี่ยนที่นี่เป็นสวนดอกไม้ที่สามารถท่องเที่ยวได้ทั้ง 4 ฤดูกาล



มาเที่ยวกี่ครั้งก็เห็นถึงความแตกต่าง เรียกว่ามากันได้ตลอดทั้งปี ไม่มีเบื่อ ที่ผ่านมา เราเคยมาที่นี่ในช่วงหน้าหนาว บริเวณอ่างใส่ดอกไม้น้ำกลายเป็นเกร็ดน้ำแข็ง ส่วนดอกคามิลเลียหลากหลายพันธ์ก็ชูช่อสีสันสวยงามสลับเรียงราย



 

ส่วนฤดูใบไม้ผลิ เราจะพบกับดอกซากุระ ที่มีให้ชมเช่นกัน ส่วนฤดูใบไม้ร่วงเช่นวันนี้ที่เราเดินทางมา ก็มีทุ่งหญ้าสีชมพูพิงค์มูลี่ Pink Muhly หนึ่งปีมีครั้งเดียวที่ต้นหญ้าสีชมพูสะพรั่งงดงาม  

ที่เราชอบคือ เขาจะจัดจุดให้ถ่ายภาพกันเป็นระยะแซมแทรกอยู่ตามธรรมชาติ เรียกว่ากลมกลืนกันจนแปลกใจ ทั้งที่เป็นกระจกบานใหญ่ โดยเฉพาะเย็นอาทิตย์ใกล้ตกดินแสงสีเหลืองสะท้อนผ่าน สวยงามมาก

  

นั่นทำให้เราได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างหยิบมือถือมากดกันแบบไม่ขาดสาย ไกด์สตางค์ให้เวลาเก็บภาพกันพอประมาณ ก็ได้เวลาของการรับประทานอาหารเย็น แบบจัดหนักจัดเต็ม







เป็นเมนู  เทจี ยังนยอม คัลบี้  (สันในของหมู) อาหารเกาหลีแบบปิ้งย่าง กลิ่นหอมฉุยตั้งแต่ลงรถบัสกันเลยทีเดียว ไกด์เตือนว่า ตอนนี้ให้ถอดเสื้อหนาว กันเอาไว้ก่อน เพราะคุณอาจจะหอมฉุยไปจนถึงพรุ่งนี้ อาหารเกาหลีแบบปิ้งย่าง เนื้อหมูสันในหมักกับเครื่องปรุงรสจนเนื้อนุ่ม จัดแบบชิ้นใหญ่กันเลย นำไปย่างแบบใช้เตาถ่าน ซึ่งมีชื่อเสียงมากๆ ย่างกันสด ๆ ร้อนๆ



จากเนื้อชิ้นใหญ่ น้องพนักงานเสริฟมาตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ในช่วงย่างเพื่อให้ได้พอดีคำ นำผักสด กระเทียม กิมจิและเครื่องเคียงต่าง ๆ มาห่อรวมกันแล้วทานกันคำโต ๆ สไตล์คนเกาหลี หรือจะทานกับข้าวสวยร้อน ๆ บอกเลยว่า... อร่อยมากกกก แถมยังเสริฟกันแบบไม่อั้น มีแรงทานก็ทานกันได้ตามสบาย



.... หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ก็เข้าที่พัก ที่ Jeju In Hotel ตั้งอยู่ในเมืองเจจู ห่างจาก Aljakji Beach ไม่ถึง 1 กม. ให้บริการที่พักพร้อมห้องอาหาร พื้นที่จอดรถส่วนตัวฟรี บาร์ และสวน โรงแรมระดับ 3 ดาวแห่งนี้มีบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย ฟรี มีแผนกต้อนรับตลอด 24 ชั่วโมง และรูมเซอร์วิส โรงแรมมีห้องสำหรับครอบครัว ผู้เข้าพักที่โรงแรมสามารถเพลิดเพลินกับบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า JEJU IN Hotel มีระเบียง หาด Iho Tewoo  โดยเฉพาะสำหรับคนไทย มีร้านสะดวกซื้อยี่ห้อ 7-11 ไว้บริการด้านล่างด้วย



Day 2

เริ่มวันที่สองกันด้วยอาหารบุฟเฟ่ต์สไตล์เกาหลีซึ่งจัดเอาไว้ที่ชั้นใต้ดิน อาหารก็เหมือนกับบุฟเฟ่ต์บ้านเราแตกต่างคือ มีกิมจิ ซึ่งเราเชื่อว่า เป็นอาหารที่คนไทยทานได้แน่นอน นอกจากจะอร่อยแล้วยังที่นั่งทานสะอาดสะอ้าน





 

 

 

เช้าวันนี้อากาศดีเหมือนเมื่อวานเพียงแต่ลมเริ่มแรงขึ้น หลังอิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์สไตล์เกาหลี บัสขนาดใหญ่ก็มารอรับเดินทางกันต่อไปยัง

ศูนย์น้ำมันสนเข็มแดง  สมุนไพรที่มีชื่อเสียง ต้นไม้ชนิดเดียวที่กินได้ (ดินแดนมรดกโลก) ของประเทศเกาหลีใต้ Red Pine Oil หรือ น้ำมันสนเข็มแดง ตามตำรับยาโบราณสมัยราชวงศ์โชซอน ที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่ากินกันมานานหลายศตวรรษทีเดียว คนไทยที่ไปที่เจจูจะรู้จักและรับรู้ถึงสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ที่นี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพเราจึงออกมาถ่ายต้นไม้ทรงเก๋ด้านนอกมาฝาก 



ปัจจุบันได้นำมาสกัดด้วยวิธีที่ทันสมัยดึงสรรพคุณที่ดีที่สุดออกมาในรูปแบบที่ทานได้ง่ายเป็นแคปซูลใสพร้อมทาน และบำรุงสุขภาพได้ดีที่สุด น้ำมันสนเข็มแดง ที่มีสรรพคุณช่วยในการทำความสะอาดระบบหลอดเลือด เคลียร์หลอดเลือดที่อุดตัน ลดคลอเลสเตอรอล ความดันโลหิต เบาหวาน ป้องกันเส้นเลือด ตีบ แตก ตับ อีกทั้งยังช่วยให้การผ่อนคลาย หลับสนิทมากขึ้น ผิวพรรณดูมีสุขภาพดี รับประทานเป็นประจำร่างกายแข็งแรงขึ้นตามลำดับ 

ที่นี่คนไทยหลายคน นอกจากจะมาเที่ยวแล้ว ยังแวะเวียนกลับมาซื้อไปทานกันอยู่ตลอดเวลา ถามไถ่กันหลายคนบอกว่า ดีจริงๆ อันนี้ก็ต้องมาลองกันคะ

นั่งรถไฟเที่ยว ECO LAND 

หลังจากนั้นเดินทางไปนั่งรถไฟเล่นกันที่ ECO LAND ซึ่งอยู่ท่ามกลางผืนป่าขนาดใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เราเพิ่งจะเคยได้ไปเห็น เขามีการจัดการแบ่งโซนอย่างเป็นระเบียบสวยงามจริงๆ รวมถึงระบบ security ที่เจ้าหน้าที่จะเป็นคนเปิดและปิดประตูเมื่อเข้าสู่ภายในโบกี้ให้เท่านั้น หนึ่งโบกี้จะแบ่งที่นั่งเป็นตอนๆ นั่งหันหน้าชนกันแถวละ 3 คน แล้วปิดประตูเลย และต่อไปยังตอนใหม่ ซึ่งรถไฟจะออกเป็นเวลา ทางไกด์จึงคอนข้างเข้มงวดเรื่องการนัดหมาย การรักษาเวลา แต่อย่างไรก็ตาม รถไฟจะวิ่งวนกันไป หากขึ้นไม่ทันขบวนที่มาด้วยกัน ก็สามารถขึ้นขบวนถัดไปได้



ในแต่ละสถานีจะแบ่งโซนให้นักท่องเที่ยวแวะพักเยี่ยมชมหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ เดินชมวิวทิวทัศน์ได้จากสะพานไม้ หรือจะไปอีกสถานีเพื่อแช่น้ำร้อนกันก่อนจะเข้าไปสู่สวนดอกไม้ก็ได้ ซึ่งก็เพิ่งรู้ว่า น้ำร้อนที่ให้นักท่องเที่ยวมานั่งแช่กันเป็นสิ่งที่ทำขึ้นไม่ได้ร้อนมาจากธรรมชาติ สุดยอดจริง ๆ







 

 

 

 

 

ด้วยเพราะเราเดินทางกันใกล้จะเปลี่ยนฤดูแล้ว จากใบไม้ผลิจะเป็นฤดูหนาว ใบไม้เปลี่ยนสีอาจจะไม่มากเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงมีความสวยงามในสีสันที่จัดจ้านของใบไม้

บางสถานีที่จัดให้แวะลง มีกังหันขนาดใหญ่ มีร้านกาแฟเอาไว้บริการ ซึ่งก็เหมาะมากกับสภาพอากาศตอนนี้ ฝนตกลงมาอย่างหนัก รูปที่ได้มาอาจจะไม่สวยมากนัก ต้องไปชมของจริงกัน ว่ากันว่า แต่ละฤดูจะมีดอกไม้และพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ออกสลับกันให้ได้เชคอินตลอดทั้งปี



 

 

เดือนหน้า เดือนธันวาคมถึงมกราคมจะเข้าสู่ฤดูหนาว หิมะตกและดอกคามิลเลียบานสะพรั่ง ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน จะพบกับทุ่งดอกยูแชกตและมีดอกซากุระในตอนปลายเดือนมีนาคม และในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม สามารถเข้าไปชมดอกทิวลิป ดอกไฮเดรนเยียและลาเวนเดอร์ ส่วนเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน จะพบกับดอก Sunpatein  บาน และทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มให้ได้เห็นกัน และท้ายสุดคือเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน จะพบกับทุ่งหญ้าสีชมพูพิงค์มูลลี่และดอกหญ้าออกแซ ใครชื่นชอบแบบไหนก็เลือกเดินทางกันได้เลยคะ



 

 

 

 

หมู่บ้านวัฒนธรรม "ซองอึบ" (SONGEUB FOLK VILLAGE) 

หลังจากนั้นก็เดินทางกันต่อไปยังหมู่บ้านโบราณอายุมากกว่า 300 ปีที่ปัจจุบันยังมีผู้คนอาศัยอยู่จริง ตรงนี้ไกด์เตือนว่าอย่าเที่ยวได้เปิดประตูเข้าบ้านเขา ถ่ายรูปภายนอกได้



 

 

หมู่บ้าน ซองอึบ รถบัสจอดเทียบท่าด้านหน้าหมู่บ้าน จะเห็นรูปปั้นเทพพระเจ้า ทอลฮารุบัง ขนาดใหญ่ 2 ตนอยู่ทางเข้า ซึ่งจริงๆ เราก็เหนทั่วเกาะ ชาวเจจูนับถือเป็นอย่างมาก

เมื่อไปถึงจะมีชาวบ้านมาต้อนรับ และพาเราเดินชมวิถีชีวิตต่างๆ ในหมู่บ้าน พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่นี่ให้ฟังแบบสนุกสนาน

หมู่บ้านวัฒนธรรม ซองอึบ ก่อสร้างจากก้อนหินทั้งหลัง เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังถึงวิถีของชาวเจจูในสมัยก่อนถึงความไม่เท่าเทียมกันของหญิงและชาย อาชีพดั้งเดิม รวมถึงโอ่งโบราณที่มีไว้สำหรับการหมักกิมจิเหมือนกับที่อื่น ๆ รวมถึงสินค้า OTOP ที่มีผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แคลเซียมจากกระดูกม้าและน้ำหมักเบอร์รี่ป่า แบล็คราสเบอรี่ หรือที่เรียกกันว่า Ominja (โอมินจา) โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้เราทดลองชิมกันถ้วนทั่ว



 

 

ที่นี่สำหรับคนที่ชอบสถาปัตยกรรมโบราณ จะชื่นชอบมาก เพราะแม้แต่ประตู หน้าต่าง หลังคา ของบ้าน ยังบ่งบอกถึงความเป็นชาวเกาะเจจูครั้งอดีตได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้หลายคน เมื่อได้ชิม ช็อป ผลิตภัณฑ์กันแล้ว ต่างกระจายกันออกไปเช็คอินไม่ขาดสาย







ภูเขาไฟซองซาน อิลจลุ บง ( SEONGSAN ILCHULBONG )

.. วันนี้ลมเริ่มแรงกว่าเมื่อวานมากนัก ยิ่งเข้ามาใกล้ภูเขาไฟซองซาน อิลจลุ บง ซึ่งเป็นสถานที่โล่งกว้าง ที่นี่ถูกขนานนามว่า “Sunrise Peak” มี อายุกว่า 5, 000 ปี ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุด จึงเป็นสถานที่โด่งดังที่ผู้คนมาขอพรและชมพระอาทิตย์ขึ้น

 เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกอยากมาสัมผัส จึงถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ทางธรรมชาติ ภูเขาไฟลูกนี้สงบลงเป็นที่เรียบร้อย แต่ทิ้งความสมบูรณ์และสวยงามเอาไว้ โดยรูปทรงที่กลมขนาดใหญ่เส้นผ่าน



ศูนย์กลางประมาณ 600 เมตร มีรอยหยักมองแล้วลักษณะเหมือนทรงมงกุฏเลย และเป็นการเชื่อมโยงกับเกาะเชจูแบบธรรมชาติ ด้วยธารลาวา ปัจจุบันจึงสามารถไปเที่ยวจุดนี้ ด้วยรถยนต์ และใครที่อยากได้ บรรยากาศปากปล่องภูเขาไฟ พร้อมชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ต้องเอาชนะใจตัวเองด้วยการเดินขึ้นไปพิชิตถึงยอดปากปล่อง ความสูงจากระดับน้ำทะเล 182 เมตร





 

 

ซึ่งการขึ้นไปชมปล่องภูเขาไฟจะไปตามลูกศรด้านขวามือ นอกจากจะต้องขาแข้งดีแล้ว จะต้องเสียค่าเข้าชมคล้ายกับขึ้นอุทยานฯ บ้านเรา โดยจะมีป้อมเป็นสถานที่จำหน่ายตั๋ว แต่ถ้าจะไม่ขึ้นไปชมยอดปล่องภูเขาไฟและไม่อยากเสียตังค์ ก็ต้องไปทางด้านซ้ายตามลูกศร เพื่อเดินลงสู่ทะเล





ซึ่งที่ทะเลแห่งนี้แหล่ะที่เป็นหนึ่งในแหล่งหาสัตว์น้ำ ของ “แฮนยอ” ที่มีป้านักดำน้ำจับสัตว์ทะเลแห่งเกาะเจจู ป้า “แฮนยอ” นี้ เป็นนักดำน้ำแห่งเกาะเจจูในการจับหอย สาหร่ายทะเล ปลาหมึกและสัตว์ทะเลต่างๆ ที่สืบทอดวิธีปฏิบัตินี้มานานนับสองพันปี ที่ยูเนสโกยกย่องเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ในปี 2559

การเป็น แฮนยอ จะเริ่มกันตั้งแต่วัยเยาว์กันเลยทีเดียว เรียกว่าหากพอดำน้ำได้ แม่ก็จะเริ่มสอนให้รู้จักวิธีหายใจ กลั้นหายใจในน้ำนานๆ เรียนรู้คลื่นลมทะเล และสัตว์ต่างๆ รวมถึงวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย 

ปัจจุบันมีโรงเรียนเปิดสอนการเป็นแฮนยอขึ้นที่เกาะเจจู เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมอันงดงามนี้สู่คนรุ่นหลัง ซึ่งในเดือนกันยายนจะมีเทศกาลเดอะ เจจู แฮนยอเฟสติวัลเพื่อให้ผู้คนได้มีโอกาสพบปะกัน

ปัจจุบันบริเวณริมฝั่งจะมีร้านค้าที่นำอาหารทะเล มาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวด้วย



นอกจากนี้บริเวณลานจอดรถ ยังมีร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ ร้านไอศครีม ร้านผลไม้ และอื่นๆ เอาไว้บริการนักท่องเที่ยวรวมถึงที่ชาร์ทแบตเตอรี่มือถืออีกด้วย 



 

 

 

 

 

แหลมซอฟจีโกจี

ที่แหลมแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวยอดฮิตของเกาะเจจูก็เพราะเป็นจุดที่ซีรีส์เกาหลีนิยมเข้ามาถ่ายทำกันมากที่สุด นอกจากจะมีประภาคารสีขาวตั้งเด่นสวยงามแล้ว ยังมีหินคู่ที่เรียกกันว่าหินตาหินยาย ระหว่างทางก็มีบ้านหลังที่สมัยอดีตเคยเป็นโบสถ์เก่า

แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ต้องแวะกันก่อน นี่เลย ... แม่ค้าชาวเกาหลี ยืนย่างหอยและปลาหมึกตัวเป้งเอาไว้ดักรอท่านักท่องเที่ยว ต้องบอกเลยว่าสดมากๆ เป็นปลาหมึกสดที่ชาวบ้านเอาไปตากลมจนแห้งแล้วนำมาย่างบนหินภูเขาไฟ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ส่วนบางคนอยากลิ้มลองรสชาติความสดของเป๋าฮื้อก็มีไว้บริการ ดิ้นกันเห็นๆ แต่เราขอบาย..เกรงใจอ่ะ



 

 

 

 

 

ที่นี่มีมุมเอาไว้ให้สูดอากาศบริสุทธิ์ชื่นชมไปพร้อมกับวิวสวยๆ ของโขดหิน ลมแรงมาก





 

หลังจากนั้น เราก็กลับไปยังโรงแรมเพื่อชิม ซุปไก่ทะเลสวรรค์ เป็นเมนูพิเศษที่เราเพิ่งเคยได้ลิ้มลอง เป็นการผสมผสานความเป็นท้องทะเลของเกาะเจจูเข้ากัเรื่องสุขภาพที่แข็งแรงนั่นก็คือซุปไก่นั่นเอง เมนูนี้จึงเปรียบดังเมนูจากสวรรค์เลยทีเดียว ส่วนประกอบ หลักๆ จะเป็นไก่ที่ต้มด้วยสมุนไพรจนเปื่อย และเพิ่มซีฟู้ดตามฤดูกาลเข้าไป ทำให้น้ำซุปอร่อย หวาน กลมกล่อมไม่เหมือนใคร เสริฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ  และเครื่องเคียงต่างๆ เช่นกิมจิ สาหร่าย หัวไชเท้า มื้อนี้ได้ใจลูกทัวร์หลายคนทีเดียว







Day 3 วัดป่า "ชอนวังซา"  (Sangbang Bomunsa Temple) 

ตั้งแต่เมื่อค่ำวานแล้ว ที่เราไปเดินเล่นชายหาด Iho Tewoo  ซึ่งสามารถเดินจากโรงแรมไปไม่ไกล ชายหาดวันนี้อาจไม่คึกคักเพราะฝนปรอยลงเม็ดมาตอนบ่าย แต่ก็ยังมีร้านกาแฟ บาร์ มินิมาร์ท เปิดรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ให้เห็น ส่วนใหญ่จะนิยมเข้ามาจุดพลุเล็กๆ ที่มีจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ



 

 

 

อากาศบนเกาะเจจูเริ่มส่งสัญญาณเย็นลงอีก เช้านี้ยิ่งต้องเดินทางขึ้นไปยังวัด Sangbang Bomunsa Temple ซึ่งเป็นวัดป่าที่อยู่บนเทือกเขาฮัลลาซาน เป็นวัดแรกของเกาะเชจู เป็นวัดที่สวยงามที่อยู่กลางหุบเขา 99 ยอด ชม วัดป่าชอนวังซา ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาฮัลลาซานสูงที่สุดนี้ ในครั้งแรกเป็นสถานวิปัสสนา ซึ่งสายมูต้องห้ามพลาดเพราะวัดแห่งนี้ต้องมาขอพรเรื่องเงินทองและความก้าวหน้าในเรื่องหน้าที่การงาน



วัดนี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นวัดเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มากแห่งหนึ่งในเกาหลี อีกทั้งยังมีต้นกำเนิดจากน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย หมอกเช้านี้ลงจัดจนรถต้องเปิดไฟฉุกเฉินกัน เมื่อเดินลงไปจะพบรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมอยู่บริเวณทางขึ้น แค่ที่นี่ก็สวยงามแล้ว





สำหรับนักถ่ายภาพแล้ว วัดเกาหลีที่มีโบสถ์สีสันสวยงาม ที่นี่ก็เช่นกัน ส่วนด้านในนอกจากพระประธานแล้ว ผนังของโบสถ์ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์เล็กๆ อีกจำนวนมาก สีเหลืองทองอร่ามตาน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ด้านหลังโบสถ์เราพบแหล่งน้ำตกเล็กๆ ถูกปกคลุมด้วยใบไม้สีสดที่ร่วงหล่นลงบนพื้นตัดกับสีเขียวของพืชแล้ว ให้รู้สึกสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นจริง ๆ 





 

 

 

เราอยู่ที่นี่กันไม่นาน แต่รับรู้ได้ถึงความเลื่อมใสของชาวเกาหลี การนั่งตั้งจิตอธิษฐานทำสมาธิ บ้างก็กราบกรานจรดพื้น รวมถึงความงามสงบที่ปกคลุมถ้วนทั่ว ประทับใจจนอยากกลับมาอีกครั้ง



 



 

... หลังจากนั้น เราก็ไปดูศูนย์แสดงชุดเครื่องนอน SESA LIVING เลือกซื้อชุดเครื่องนอนเพื่อสุขภาพอันดับหนึ่งของ ประเทศเกาหลีใต้ Sesa Livingที่ใช้เส้นใยในการถักทอถึง 15,400 เส้น กันไรฝุ่นได้100% มีการใช้หยกในการทำเส้นใย จึงมีคุณสมบัติในเรื่องของการ บำบัดขณะนอนหลับ ซึ่งเนื้อผ้าจะมีสัมผัสที่นุ่ม ลื่น



 

บางคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ทำไมต้องแวะตามศูนย์แสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วย เราได้รับคำตอบว่า เพราะรัฐบาลเขาส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว เมื่อมีทัวร์เข้ามาก็จะพาแวะตามสถานที่ที่ได้กำหนดไว้ เพราะบัสนักท่องเที่ยวแต่ละคันจะมีเจ้าหน้าที่ชาวเกาหลีคอยอำนวยความสะดวกเผื่อมีปัญหาใดๆ แต่...แต่ละแห่งที่ได้เข้าไปเยือนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพแทบทั้งสิ้น

ส่วนอีกมุมที่ไกด์แวะให้ได้ถ่ายรูปกัน แม้จะเวลาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้สนุกสนานกันดี 

 

 

 

 

และปิดท้ายกันที่ ประภาคารม้าแดง - ขาว อีโฮเทออู 



และเพื่อเป็นการเอาใจขาช็อปอย่างไทยแลนด์ ในช่วงเย็นก่อนกลับไทย ก็จัดให้เข้าไปยัง Duty Free และแหล่งช้อปปิ้งให้ได้เดินเล่นรูดปรื๊ดกัน

 

 

 

 

...   สำหรับการเดินทางไปเยือนเกาะเจจู ภายใต้การดูแลของบริษัท ทรู เวิลด์ เทรเวล ครั้งนี้ ต้องบอกว่า ได้เห็นการเปลี่ยนปรับการเดินทางได้อย่างเหมาะสม เรียกว่า สถานที่สวย เวลาเหมาะสม อาหารอร่อย และที่พักสะดวกสบาย เพียงเท่านี้ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีก .. จะไปกี่ครั้งก็ได้รับประสบการณ์ที่แปลกแตกต่างกันไป มิน่า... ไกด์สตางค์บอกว่า หลายคนเคยมาแล้ว และมาอีกไม่มีเบื่อทีเดียว โดยเฉพาะแคมเปญพิเศษ ๆ ที่ออกมาให้นักท่องเที่ยวไทยได้เดินทางกันแบบสบายกระเป๋าเป็นระยะ ๆ 

สอบถามรายละเอียดและดูข้อมูลต่าง ๆ ได้ที่ www.gotrueworld.com Line: @gotrueworld ,  Hotline : 084 147 0875