InterviewUpdate News

วิกร ภูวพันธ์ ซีอีโอ Lake Heaven กับกลุ่มธุรกิจสามพันล้าน



                                    “.....สมัยผมเป็นเด็กอายุไม่ถึงขวบ แม่บอกว่า พาไปวัดหลวงพ่อโสธร แล้วรถคว่ำลงไปอยู่ในน้ำ ตัวผมจมอยู่ในน้ำ ควานหากัน จนรอดมาได้ ที่บ้านจึงยกให้เป็นลูกหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโสธรท่านก็มาจากการลอยน้ำมา ชีวิตผมจึงชอบน้ำและทำธุรกิจเกี่ยวกับทางด้านน้ำมาตลอด”




 ... ด้วยการบอกเล่าของ นักธุรกิจพันล้านที่เริ่มต้นการลงทุนด้วยสินค้าเครื่องกรองน้ำ ต่อมาเป็นเรือสำราญ และมาถึง เลค เฮฟเว่น รีสอร์ท รีสอร์ทกลางน้ำที่เรียกตัวเองว่า มัลดีฟส์น้ำจืดเมืองไทยหนึ่งเดียว ล่าสุด คือเครื่องสำอางค์กันน้ำร้อยเปอร์เซ็นต์ และในปีถัดไปจะนำกลุ่มธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยยอดธุรกิจกว่าสามพันล้านบาท เรื่องราวการดำเนินธุรกิจเขาทำอย่างไร เริ่มกันเลย กับการสัมภาษณ์พิเศษ ของ สำนักข่าวออนไลน์ Btripnews 

จากลูกเกษตรกร 

คุณหรั่ง - วิกร ภูวพันธ์ CEO เริ่มเล่าให้ฟังว่า “... บ้านผมอาชีพจริงๆ เป็นเกษตรกร พ่อแม่ส่งให้เรียนจนจบ คณะวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีลาดกระบัง หลังจบก็เริ่มทำงานด้านการขายเป็น เซลล์เอ็นจิเนียร์กับบริษัทร่วมทุนไทยเยอรมัน ขายบอยเลอร์หม้อไอน้ำ แล้วก็ขึ้นมาเป็นโปรเจค

แต่หลังจากก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในปี 2539 เริ่มเห็นว่าในงานที่ทำอยู่ท่าทางจะไม่ค่อยดีแล้ว ผนวกกับช่วงนั้นอายุ 26-27 ปีเท่านั้น ก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เผอิญมีความเชี่ยวชาญเรื่องระบบวอเตอร์ทรีทเม้นท์ ก็มองว่าตลาดตามบ้าน มีแต่ไดเรคเซลส์  ส่วนใหญ่เครื่องกรองน้ำสมัยนั้นจะเป็นสแตนเลส ซึ่งไม่สามารถตอบโจทย์ด้านสุขภาพได้จริงๆ เพราะเรามีความรู้เรื่องการทำน้ำมาก่อน

จำได้ว่าช่วงนั้นวิกฤตเศรษฐกิจพอดี เริ่มทำธุรกิจในช่วงนั้นไม่มีใครเห็นด้วย อีกอย่างพ่อแม่ก็การศึกษาน้อย จบ ป. 4 คือ ครอบครัวเป็นเกษตรกรทำสวนมาที่บ้านเลี้ยงปลา แต่ผมไม่อยากทำเกษตรแล้ว

....สมัยผมเป็นเด็กอายุไม่ถึงขวบ แม่บอกว่า พาไปวัดหลวงพ่อโสธร แล้วรถคว่ำลงไปอยู่ในน้ำ ตัวผมจมอยู่ในน้ำ ควานหากัน จนรอดมาได้ ที่บ้านจึงยกให้เป็นลูกหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโสธรท่านก็มาจากการลอยน้ำมา ชีวิตผมจึงชอบน้ำและทำธุรกิจเกี่ยวกับทางด้านน้ำมาตลอด เริ่มจากทำบอยเลอร์แล้ว ไม่อยากเปลี่ยนแนว อินมาตลอดเรื่องนี้มาตลอด ชีวิตวัยเด็กก็ชอบว่ายน้ำ ชอบดำน้ำ แต่ไม่ใช่ดำน้ำลึกนะครับ”

     



 

ธุรกิจเครื่องกรองน้ำ เปลี่ยนชีวิต

“....จริงๆ หลังๆ มีซินแสคู่ใจ เป็นพี่ที่รักใคร่กัน เขาจบเภสัชฯจุฬา แต่เป็นคนชอบศึกษาด้านฮวงจุ้ย แกมีธุรกิจของครอบครัวคือทำจักร ก็บอกว่า คุณหรั่งรู้เปล่าว่าเป็นคนธาตุดิน ต้องทำเรื่องน้ำถูกต้องแล้ว

ผมเริ่มทำเครื่องกรองน้ำปี 2541 ยอดขายดีมากเติบโต 100-200 % ทุกปี ปีแรกยอดขาย 3 ล้าน ปีที่สองขึ้นมาเป็น 10 กว่าล้าน ต่อมาก็ขึ้นมาเป็น 100 กว่าล้าน และ 200 ล้าน ...300 ล้าน…. 500 ล้าน จนตอนนี้ใกล้ 1,000 ล้าน คาดว่าในปี 63 วางเป้าไว้ประมาณ 3,000 ล้าน ตอนนี้เตรียมตัวเข้ามหาชนอยู่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์น่าจะเริ่มปีหน้า”

ธุรกิจเริ่มก้าวสู่ยุคเออีซี โดยมองว่า “ตลาดของเออีซีเริ่มเปิด ที่มองคือ พม่า กัมพูชา ลาว เดิมการขายยังแอบๆ นำเข้า การขนส่งก็ไม่สะดวก คนเอารถบรรทุกเข้ามาซื้อ แต่ ณ วันนี้เริ่มเข้าระบบมากขึ้น เมื่อก่อนก็มีจากจีนเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่าย แต่ตอนนี้ของไทยเราเองเริ่มเปิดตลาดมากขึ้น

...ด้านสัดส่วนยอดจำหน่ายหลัก 90 % คือคนไทย ส่วนของการขยายตลาดสู่ประเทศในแถบ AEC อีกส่วนหนึ่งต้องบอกว่า เครื่องกรองน้ำที่ขายอยู่คือ house to Product แต่เชิงโรงงานอุตสาหกรรม ยังไม่ได้ทำตลาดอุตสาหกรรมหรือน้ำเสีย  ซึ่งมองตัวนี้ว่าจะเป็นโอกาสของเรา วางว่า ในปี 63 ตลาดต่างประเทศน่าจะอยู่ที่ 30% ในประเทศ 70 %”




ความแตกต่างสร้างโอกาสทางธุรกิจ

การทำธุรกิจของฟังก์ชั่นกรุ๊ป คือการนำเสนอโปรดักส์ใหม่ๆ และพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ

“....สิ่งที่เรามีคือนอกจากโปรดักส์ใหม่ๆ แล้วยังมีการพัฒนาอยู่เสมอ วันนี้บอกว่าเครื่องกรองน้ำน่าจะจบ แต่สำหรับผมอีกสองปีข้างหน้า ทุกคนอยากมีเครื่องกรองน้ำใหม่ ๆ เหมือนเราอยากมีรถก็อยากจะมีรถที่มีดีไซน์ใหม่ๆ ไม่ใช่เป็นสแตนเลส เป็นสนิมในบ้าน

ตอนนี้เราทำเครื่องกรองน้ำที่มีดีไซน์และรูปลักษณ์ใหม่ สวยงามมากขึ้น มีการเพิ่มลูกเล่นมากขึ้น แทนที่จะใช้เครื่องกรองน้ำตัวเดียวในบ้าน ก็เพิ่มเป็นสองถึงสามตัว โดยมีการพัฒนาแยกออกมาให้ใช้เฉพาะแห่งในบ้านหลังหนึ่ง อาจมีเครื่องกรองน้ำได้หลายเครื่อง ทั้งกรองสำหรับติดตั้งที่ตู้เย็นเพื่อทำน้ำแข็งซึ่งตรงนี้ต้องใช้เครื่องกรองที่เหมาะสม ซึ่งเป็น RO เพราะกรองทุกออย่าง น้ำแข็งต้องการความใส ถ้าน้ำไม่สะอาดพอน้ำแข็งจะขุ่น แต่ RO จะกรองทุกอย่างได้ 99 % ก็จะกรองละเอียด

ส่วนเครื่องกรองน้ำในบ้านจะใช้ UV การกรองละเอียดไม่เท่า แต่กรองเชื้อได้ 100 % เราต้องการแร่ธาตุอยู่แต่เรื่องเชื้อโรค 100 %  ตู้เย็น การทำกับข้าวก็แยกประเภทสำหรับการทำอาหาร รวมถึงเทรนด์ เฮลท์ตี้ก็กำลังมาแรง รูปแบบการใช้เครื่องกรองน้ำเปลี่ยนไป เป็นต้น

ปัจจุบัน ตลาดเครื่องกรองน้ำรวมๆอยู่ที่ราว 4,000 ล้านบาท เป็นยอดขายปลีก แต่บริษัทผมขายส่งให้ดีลเลอร์ มาร์เก็ตแชร์ ถ้าเป็นเครื่องกรองน้ำตามบ้านอยู่ที่ 50 % ของมาร์เก็ตทั้งหมด แต่ถ้าอุตสาหกรรมยังน้อยอยู่ ซึ่ง 4, 000 ล้านนี้จะมีอุตสาหกรรมอยู่ด้วย ด้านอุตสาหกรรมของเราอยู่สัก 10 %”

 

ธุรกิจมารีน นำเข้าเรือสำราญ 

หลังจากทำเครื่องกรองน้ำปี 2541 ธุรกิจไปได้ดี ราวปี 2543 ความที่เดินทางต่างประเทศบ่อยและความชอบน้ำ ทำให้เขาเริ่มมองธุรกิจเรือสำราญ เนื่องจากมองว่า เมืองไทยยังไม่มีเรือสำราญที่สวยงามและเหมาะสำหรับการท่องเที่ยว แต่ผิดคาด...

“...ผมไปต่างประเทศบ่อย ก็คิดว่า บ้านเราไม่มีเรือสำราญที่สวยๆ ก็อยากนำเข้ามานำเสนอ โดยคิดว่าเศรษฐีมีแต่ใช้รถเปลี่ยนรถ ถ้ามีเรือมานำเสนอก็น่าจะเปลี่ยนเรือบ้าง ปี 2543 เริ่มทำธุรกิจมารีน นำเรือสำราญเข้ามา  แต่เมื่อนำเข้ามาจริงๆ ไม่ได้ดีอย่างที่คิดเท่าไหร่ เพราะคนไทยไม่นิยม ไลฟ์สไตล์คนไทยไม่ใช่

งานโบ้ทช์โชว์ ของออสเตรเลีย ประชากร 20 กว่าล้าน คนเดินงานเขาเป็นล้านคน แต่สำหรับเมืองไทยไม่ใช่ วันนี้บอกได้เลยว่า เรือที่เราขายถูกกว่าที่ออสเตรเลียขาย ราคาเรือของเราเริ่มต้นด้วย 1 ล้านบาท ถ้าไปดูในเวปไซต์เมืองนอก ราคาพอๆกับที่อเมริกาขาย

ซีอีโอ กล่าวต่อว่า “อยากนำเข้ามาเพื่อเปิดมุมมองใหม่ให้กับคนไทย เผอิญรัฐบาลสนับสนุนภาษี 0 % จ่ายแค่แวกซ์อย่างเดียว เรือสำราญทุกชนิดไม่เสียภาษี โดยตอนนี้ผมเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าตั้งแต่อเมริกา ฝรั่งเศส อเมริกาใต้ ญี่ปุ่น เกาหลี สิบกว่าแบรนด์ รวมถึงเครื่องเล่นทางน้ำทั้งหมด ทุ่นลอยน้ำ รวมอยู่ในบริษัท ฟังก์ชั่นมารีน”

   

จากเรือมารีน สู่ เลค เฮฟเว่น รีสอร์ท  

คุณหรั่ง เล่าถึงที่มาของการทำธุรกิจรีสอร์ท ที่เมืองกาญจน์ ว่า “ ...ตอนมาทำเลค เฮฟเว่น ผมมาซื้อที่ปี 2544 เดิมตั้งใจจะทำเกษตร เราเห็นพ่อแม่ลำบากก็อยากทำสวนเกษตรอีกแบบหนึ่ง แต่พอทำปั๊บก็เผอิญมีฟังก์ชั่นมารีน และมีเพื่อนยุว่าน่าจะทำที่จอดเรือ อย่าทำเลยด้านเกษตร ก็มาทำที่จอดเรือก่อน

ตอนนั้นมาเมืองกาญจน์ ผมก็พักแพชาวบ้านแถวๆ นี้ หลังจากนั้นก็เริ่มสร้างบ้านพักสี่หลัง ทำรูปแบบเหมือนมัลดีฟส์ไม่มีแอร์ เอาไว้รองรับธุรกิจมารีน เมื่อทำที่พักเริ่มมีเสียงตอบรับมาเรื่อยๆ จึงเริ่มเปิดเป็นบริษัท ศรีชงโค เป็นชื่อดอกไม้ของคณะวิศวะฯ ลาดกระบัง ที่ผมจบมาสำหรับรองรับที่พักเลค เฮฟเว่น

แต่กลายเป็นเดี๋ยวนี้ธุรกิจที่พักใหญ่กว่ามารีน  ธุรกิจท่องเที่ยวดีกว่า มารีนกลายเป็นขายราชการ พวกเรือกู้ภัย หรือเอกชนจะเป็นตามรีสอร์ทต่างๆ ส่วนตามบ้านแทบจะไม่ซื้อ เท่าที่ทราบลูกค้าซื้อไปก็ไม่ได้เล่น ส่วนใหญ่ไลฟ์สไตล์ แฟนเมาบ้าง แดดร้อนไปบ้าง คือไลฟ์สไตล์ไม่ใช่ ฝรั่งเขาชอบแดดเยอะๆ

คุณหรั่งเล่าต่อถึงเลค เฮฟเว่น ว่า “....เลค เฮฟเว่นคือแพในน้ำ เปิดขายเป็นทางการประมาณ ปี 2550 ต่อมาคือ เฮฟเว่น แควร์ ที่อำเภอไทรโยค ปี 2555 และเฮฟเว่น เบย์ ประมาณ 2558 โดยนำแพบ้านพักที่ไม่มีแอร์ในช่วงแรก เคลื่อนย้ายไปฝั่งเกาะกลางแม่น้ำ

และที่เพิ่งเปิดคือ บ้านพักโซนบนบก เนื้อที่ 27 ไร่ ซึ่งอยู่ด้านบน ทั้งหมด 70 หลัง เปิดมาได้ครึ่งปีแล้ว ต้นทุนแพพักจะสูงกว่าบนบก ตอนมาใหม่ๆ ครั้งแรกที่สร้างแตกหักเสียหายบ้าง ณ ตอนนี้หลังละหกแสนเศษ รวมแล้วงบลงทุนทั้งหมด 150 ล้านบาท ทั้งบนบกและในน้ำ

พื้นที่ในน้ำเราขึ้นอยู่กับกรมเจ้าท่า แต่บนบกเป็นพื้นที่ของเราเอง เป็นสิทธิทำกินของหลวง ด้านล่างก็ตามพื้นที่หน้าน้ำทั้งหมด มีห้องพักทั้งหมด 80 หลัง

เมื่อก่อนเราเน้นคนชอบธรรมชาติสร้างแพแบบไม่มีแอร์ แต่พบว่าสำหรับคนบางคนมีเงินอยากอยู่กับธรรมชาติ แต่ก็อยากอยู่แบบสบายๆ มีงบมากพอสำหรับการจับจ่ายตรงนี้ จึงทำแพติดแอร์

ธุรกิจจะเป็นในแบบค่อยๆ เติบโต ขณะเดียวกันก็ดำเนินธุรกิจอื่นๆ ควบคู่กันไป โดยเฉพาะเครื่องกรองน้ำที่มี โวลุ่มใหญ่กว่ามาก ส่วนที่นี่เหมือนกับเป็นที่พักผ่อนมากกว่า”

    

   



ธุรกิจเครื่องสำอางค์กันน้ำ 

ซีอีโอ หนุ่ม ยังคงเดินหน้าสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางน้ำเหมือนเดิม โดยเขากล่าวว่า 

“...ภรรยาและเพื่อนทำเครื่องสำอางค์มาก่อนเมื่อสองปีก่อน ผมเพิ่งเข้ามาช่วยทำเป็นเรื่องเป็นราวประมาณปีกว่า ๆ อย่างนำสีของดอกทิวลิปมาเป็นต้นแบบของสีเครื่องสำอางค์ ผมมาเริ่มจับเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เพราะมองว่า หากทำธุรกิจแบบพื้นๆ เหมือนกับคนอื่นก็จะไม่สามารถโดดเด่นได้ จึงหาความต่าง

ความที่ผมชอบน้ำชอบกิจกรรมดำน้ำ ก็สังเกตุเห็นว่าผู้หญิงที่ดำน้ำส่วนใหญ่จะหน้าสด แต่งหน้าไม่ได้ คำว่ากันน้ำแต่ก็ไม่สามารถว่ายน้ำได้ จึงเริ่มคิดค้นเครื่องสำอางค์กันน้ำร้อยเปอร์เซ็นต์ขึ้นมาใหม่ แต่เพราะความใหม่กว่าจะคิดค้น กว่าจะเทสต์ กว่าจะลงตัวใช้เวลาเป็นปีรวมถึงการผ่านอย.ด้วย โดยเครื่องสำอางค์นี้ต้องสามารถดำน้ำได้ ว่ายน้ำได้

ชื่อ Nudibranch จำหน่ายจริงในเดือนพฤษภาคม ในงาน Driving งานกีฬาทางน้ำ ซึ่งกันน้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  เจอน้ำเค็ม เจอหน้ากากดำน้ำ ไม่มีปัญหา ผมเห็นว่าไม่มีใครทำ เราเป็นเจ้าแรก ตอนที่เข้าไปเปิดตลาดในงานไดรฟ์วิ่ง เป็นที่ฮือฮามาก ไม่มีใครคิดว่างานดำน้ำจะมีคนมาขายเครื่องสำอางค์กันน้ำ กระแสตอบรับมากจนผลิตไม่ทัน ตอนนี้สินค้าผลิตในประเทศและต่างประเทศเพื่อรองรับธุรกิจ

ซึ่งตอนที่ติดต่อโรงงานให้ทำมีปัญหาค่อนข้างมาก ใช้เวลานานกว่าจะลงตัว หลังจากนี้มีแพลนด้านการตลาดโดยหาพาร์ทเนอร์ช่วยขาย ช่วยสร้างกลุ่ม ให้ลองเทสต์ว่าแตกต่างจากในตลาดจริงๆ ส่วนใหญ่กระแสมักจะผ่านดารา ที่ผ่านมาเราไม่ได้มีการทำมาร์เก็ตติ้งตรงนี้

ช่องทางการจำหน่ายเริ่มเข้าโมเดิร์นเทรด ผ่านทางดีลเลอร์ ร้านเครื่องสำอางค์ทั่วประเทศ เริ่มมีเซลล์วิ่ง ออนไลน์มีบ้าง เริ่มสตาร์ทปีนี้ ตั้งเป้าไว้ 100 % ตอนนี้ออกมา 3 คอลเลคชั่น ตัวล่าสุดเข้ามาน่าจะประมาณช่วงวันแม่ เป็นตัวมาสคาร่า เริ่มวาง กลางเดือนสิงหาคม หลังจากนี้ก็จะเริ่มไปตลาด AEC

ปัจจุบันผมทำอย่างนี้ครับ สามีขายเครื่องกรองน้ำ ภรรยาขายเครื่องสำอางค์ (หัวเราะ) ใช้ไปด้วย ขายไปด้วย แนะนำเพื่อนไปด้วย และก็เปิดร้านไปด้วย เพราะว่าเปิดร้านเล็กๆได้ ธุรกิจทุกตัวจะเกี่ยวเนื่องกันหมด”

 

ธุรกิจสำคัญที่ความต่างจากตลาด

คุณหรั่งเพิ่มเติมว่า “สิ่งหนึ่งที่เรามี คือไม่อยู่นิ่งในการพัฒนาในทุกธุรกิจ สร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาในตลาด อย่างเครื่องกรองน้ำก็มีดีไซน์ แอพพลิเคชั่นแตกต่างในการใช้ เรือก็แตกต่าง รีสอร์ทก็ไม่เหมือนใคร มีคนบอกจองยาก แต่ทำไมคนเดิมถึงกลับมาเที่ยวกับเรา ผมจะมีเครื่องเล่นใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ ไม่งั้นก็จะเดิมๆ ถ้าเคยมาปีก่อนก็ไม่ใช่แบบนี้ เครื่องเล่นนำเข้า จากเกาหลี ญี่ปุ่น จีน นอกจากจะเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก ยังเป็นเหมือนโชว์รูมสำหรับผู้ที่สนใจเครื่องเล่นทางน้ำให้เข้ามาดูได้


แต่การทำธุรกิจท่องเที่ยวบนแพ และกลางสายน้ำ ของเมืองกาญจน์ ครั้งหนึ่งเคยมีชื่ออยู่ในกลุ่มที่ถูกตรวจสอบว่าบุกรุกพื้นที่  เขาอธิบายว่า “พื้นที่เป็นปัญหาบ้านเราค่อนข้างเยอะในเรื่องของเอกสาร ตอนผมมาซื้อเป็นพื้นที่ดินส่วนหนึ่งรัฐจัดสรรที่ให้ ไม่มีพรบ. โฉนดที่ดินรองรับ ไม่มี เขาก็อยู่กันไปเพราะไม่ได้เดือดร้อนก็จับจองกันแบบนี้ เราก็ซื้อต่อจากชาวบ้านรวมๆ กันหลายๆแปลงเพื่อมาทำเกษตรแต่พอบูมปั๊บก็จะมีปัญหา ไม่ใช่พื้นที่เราอย่างเดียว ผมว่าเป็นทุกที่ตามเกาะแก่ง

ทุกคนต้องช่วยกัน เราจะสร้างธรรมชาติจริงๆ ให้มันเกิดได้ไม่ใช่ห้ามเรื่องรีสอร์ทโรงแรม คุณต้องให้ชุมชนอยู่ได้ ถ้าบอกว่าห้ามตัดไม้ ห้ามจับสัตว์แต่ไม่มีอาชีพให้เขา เขาจะอยู่อย่างไร แต่ทำไมที่เกาะกาลาปากอส ทำไมทำได้ สิ่งมีชีวิตอยู่ร่วมกับคน เพอร์เฟคมาก เขาเข้มงวด การหาปลาเขาซื้อเอาจากรอบนอกที่ไม่ใช่บริเวณหมู่เกาะ ชาวบ้านประกอบอาชีพรองรับนักท่องเที่ยวขายกาแฟ ขายเสื้อยืด ขายไอติม เขาขายแท่งละสี่เหรียญ กาแฟแก้วละสองร้อย อาหารแพง เสื้อยืด เขาขายสามร้อยกว่า

เมื่อทุกคนอยู่ได้ มีรายได้เขาก็ไม่ต้องไปดิ้นรน มัลดีฟส์ทางภาครัฐเขาเปิดให้นักธุรกิจเข้าทำธุรกิจได้ สนับสนุนให้ทุกคนยื่นในทะเลและสร้างสิ่งปลูกสร้างได้ ประหยัดและบริหารจัดการได้ง่ายกว่า เพราะสร้างเสาขึ้นมาในทะเล ถ้ารัฐบาลสนับสนุน จำกัดขอบเขตที่มีอยู่แล้วเพิ่มมูลค่าขึ้นมาจะดีกว่า

การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม เรารู้ว่า เรามาทำธุรกิจแพ  ก็จะมีการจัดการระบบบำบัด การจัดการน้ำ แพต้องอยู่กับที่ไม่เคลื่อนที่ ต้องมีระบบบำบัดที่ดี จุ่มลงไปใต้น้ำติดทุกห้อง มีต้นทุนการดำเนินการ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่างๆ

พื้นที่บนบก เป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุญาตของป่าไม้จัดสรรให้กับประชาชนสิทธิที่ทำกิน ไม่ใช่การบุกรุกป่า มีหมู่บ้าน มีถนนหลวง มีไฟฟ้า ไม่ใช่ไปขับโฟร์วิวส์ เราไม่ใช่อยู่ในเขตอุทยานฯ ในส่วนของน้ำทางกรมเจ้าท่าก็เข้ามาดูตั้งแต่เริ่มต้นว่าสามารถทำออกไปได้แค่ไหน”



อนาคตของธุรกิจกลุ่มฟังก์ชั่น

คิดอยู่ว่า อาจจะมีเลค เฮฟเว่น ไปทางทะเลบ้าง พอดีช่วงนี้ยุ่งเรื่องเครื่องกรองน้ำแต่อีก 1-2 ปี จะดูลู่ทาง แต่พื้นที่สวยๆ ก็อยู่ตามเกาะ ซึ่งก็ไม่มีเอกสาร เราก็อยากเข้าไปทำให้แตกต่าง ผมเชื่อว่า ทุกคนเข้าไปทำให้ดีแล้วสิ่งแวดล้อมจะดี แล้วธรรมชาติก็จะกลับมา ไม่ใช่เฉพาะผมนะ น่าจะมีการประมูลไปเลย คนอยากทำถูกกฎหมายมีอยู่ เปิดให้เช่าไปเลยเอาสิทธิไป 30-50 ปีแล้วแต่มูลค่าลงทุน แต่อย่างไรก็เป็นของรัฐ”

และเมื่อถามถึงไลฟ์สไตล์ส่วนตัว  คุณหรั่งกล่าวว่า “ ปกติไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่จะชอบดำน้ำ เพราะทุกธุรกิจมีสิ่งที่ต้องคิดต้องทำ เวลาพักผ่อนผมต้องวางแผนเป็นปี ผมมีตารางกำหนดการตลอด อย่างจะไปดำน้ำจองมาปีกว่าที่เกาะการาปากอส ต้องวางแผน”



.... การทำในสิ่งที่รัก ....ทำในสิ่งที่ชอบ และการคิดต่างๆ ดูจะตอบโจทย์วิถีชีวิตของนักธุรกิจหนุ่มคนนี้ได้อย่างชัดเจน แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะก้าวสู่โลกธุรกิจในมุมมองที่แตกต่างแล้วหรือยัง?