Update Newsสังคมสังคม/CSRสุขภาพไลฟ์สไตล์

วิจารณ์ร้อน”แพทยสภา” เปิดช่อง อบรมผ่าตัดความงามระยะสั้น ขณะที่ร้องเรียน จมูกเน่า หน้าเบี้ยว พุ่ง

(วันที่ 9 มิถุนายน 2565) “หลักสูตรศัลยกรรมเสริมความงามห้องแถว ไม่ใช่หน้าที่แพทยสภา” คือหัวข้อร้อนในการแถลงข่าว ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จัดขึ้นเพื่อคัดค้าน (ร่าง) ข้อบังคับจริยธรรมเสริมสวยของแพทยสภา ซึ่งมีเนื้อหาเน้นการรับรองหลักสูตรเสริมความงามระยะสั้น 3 เดือนและเปิดโอกาสให้มีการอบรมแพทย์ตามหลักสูตรนี้ตามคลีนิดเสริมสวยได้ ในขณะเดียวกัน การแถลงข่าวยังสะท้อนภาพมาตรฐานการแพทย์และจริยธรรมด้านเสริมความงามที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากจำนวนที่เพิ่มขึ้นของการร้องเรียนของผู้ที่ได้รับเสียหายจากการรับบริการเสริมสวยทางการแพทย์ต่อองค์กร จึงมีความกังวลต่อผลกระทบด้านลบจากการ “อบรมผ่าตัดเสริมสวยระดับห้องแถว” ต่อผู้บริโภค

นอกจากนั้น ร่างข้อบังคับฉบับนี้ ยังขาดการทำประชาพิจารณ์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อซึ่ง สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ส่งหนังสือคัดค้านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปแล้วในวันที่ 20 พฤศภาคม 2565 (อ่านข่าวฉบับเต็มได้ที่ : https://www.tcc.or.th/20052565-news_surgical/) เมื่อแพทยสภาได้จัดทำ (ร่าง) ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับการเสริมสวย พ.ศ. …. และเสนอให้รมว.สาธารณสุข (สธ.) ในฐานะสภานายกพิเศษ แพทยสภา ลงนาม

ผศ.ดร.นพ.สุธี รัตนมงคลกุล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ กล่าวถึงเหตุผล 6 ข้อ ที่ต้องคัดค้าน (ร่าง) ข้อบังคับดังกล่าว คือ 1) ข้อบังคับดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากก่อนหน้านี้ราชวิทยาลัยจะเป็นผู้รับรองแหล่งฝึกแพทย์ ส่วนแพทย์สภาจะเป็นผู้ขึ้นทะเบียนและออกใบรับรองให้แพทย์ที่ผ่านการฝึกแล้ว แต่หากข้อบังคับนี้กำหนดให้แพทยสภาทำหน้าที่เป็นผู้ออกใบรับรองให้แหล่งทั้งฝึกสอนและแพทย์ด้วย จะทำให้เมื่อมีผู้ร้องเรียนปัญหาเกี่ยวกับแหล่งฝึกสอน แพทยสภาจะกลายเป็นทั้งผู้ถูกร้องเรียนและผู้ตัดสินคดีความ 2) การดำเนินการหลักสูตรระยะสั้นเกิดขึ้นก่อนการออกข้อบังคับที่ควบคุม

3) แม้จะใช้ชื่อว่า “ข้อบังคับแพทย์สภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม” แต่เนื้อหาในข้อบังคับนี้พูดถึงเรื่องการอบรมวิชาชีพทั้งสิ้นซึ่งแตกต่างจากข้อบังคับจริยธรรมที่ผ่านมา จึงอาจจะตั้งข้อสังเกตได้ว่า มีเจตนาหลบเสี่ยงการออกข้อบังคับว่าด้วยการอบรมระยะสั้นหรือไม่ 4) ควรมีการทำประชาพิจารณ์ด้วย 5) มาตรฐานการฝึกอบรมแพทย์และครูแพทย์เป็นอย่างไร และ 6) บทบาทหน้าที่แพทย์สภา คือ สร้างมาตรฐานของแพทย์ให้ดูแลประชาชนได้ แต่เมื่ออกข้อบังคับในลักษณะนี้ออกมาแล้วจะดูแลประชาชนได้อย่างไร

สำหรับข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ผศ.ดร.นพ.สุธี ระบุว่าแพทย์สภาควรยุติกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมผ่าตัดระยะสั้นเสริมความงามไว้ก่อน และควรทบทวนความจำเป็นในระบบสาธารณะสุขของประเทศไทย ตามความเป็นจริงในปัจจุบันว่า ประเทศไทยและประชาชนคนไทยต้องการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เฉพาะทาง) สาขาใดมากน้อยตามลำดับของจำนวนผู้ป่วยจริง นอกจากนี้ ต้องสร้างมาตรฐานคุณภาพการรักษาด้านเสริมความงาม และควรปล่อยหน้าที่การฝึกอบรมแพทย์หลังปริญญาเป็นของราชวิทยาลัยให้ดำเนินการตามมาตรฐานสากล

ด้าน พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายแพทย์ศัลยกรรม และกรรมการแพทยสมาคม แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับฯ ดังกล่าวว่า แม้จะระบุว่าเป็นเรื่องจริยธรรม แต่เนื้อหาข้างในกลับระบุถึงมีคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นแพทย์เสริมสวยมากกว่า จึงเกิดความรู้สึกขัดแย้งกันระหว่างชื่อและเนื้อหา อีกทั้งในเรื่องการรับรองหลักสูตรการอบรมระยะสั้นสำหรับการเสริมความงามที่ระบุใน (ร่าง) ข้อบังคับฯ นั้น มองว่า ไม่เห็นด้วยกับการฝึกอบรมแพทย์เสริมความงามด้วยหลักสูตรระยะสั้นที่ภาคเอกชนได้นำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการร่างหลักสูตรระยะสั้นว่าการอบรมเสริมจมูกพื้นฐานเพียง 3 เดือนก็พอเพียงและปลอดภัยแล้ว มากไปกว่านั้นการที่สามารถฝึกอบรมในคลินิกได้ก็อาจไม่ปลอดภัยกับประชาชน เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใด ๆ มารองรับหรือพิสูจน์เลย

พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ กล่าวว่า การฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางหนึ่งคนจะต้องมีความเคร่งครัด เพื่อให้ผลผลิตที่ออกมายืนยันกับประชาชนได้ว่าปลอดภัย อีกทั้งในระดับสากลแพทย์ก็จะต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน WFME หรือ มาตรฐานสากลสําหรับแพทยศาสตร์ศึกษาพื้นฐานของสหพันธ์แพทยศาสตรศึกษาโลก (World Federation for. Medical Education) เพื่อรับรองความน่าเชื่อถือสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามารักษาในไทย ทั้งนี้ โดยปกติแพทย์จะต้องเรียนรู้ ศึกษาและปฏิบัติกับร่างกายคนไข้เพื่อให้รู้จักอวัยวะทั่วร่างกาย

จากนั้นจะต้องสามารถวินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาให้ถูกต้อง ซึ่งแพทย์จะต้องเรียนพื้นฐานวิชาอายุรกรรมและวิชาศัลยกรรมอย่างน้อย 3 ปี เพื่อให้จบหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต และหากแพทย์คนใดต้องการต่อยอดเฉพาะทางต่าง ๆ ก็จะต้องเรียนเพิ่มเติมอีก เช่น หากจะต่อเฉพาะทางด้านศัลยกรรมต้องมีพื้นฐานอย่างน้อย 3 - 4 ปี และต่อด้วยศัลยกรรมพลาสติกอีก 2 ปี เป็นต้น

“จะเห็นว่ากว่าจะมาเป็นแพทย์หนึ่งคน หรือ การผ่าตัดคนไข้หนึ่งคน จะต้องใช้ระยะเวลาในการเรียนพอสมควรเพื่อให้เกิดความชำนาญ ซึ่งการผ่าตัดต่าง ๆ ก็อาจมีโรคแทรกซ้อน รวมถึงผลข้างเคียงได้ตลอดเวลา แพทย์จึงจำเป็นต้องเรียนรู้พื้นฐานให้แน่นมากเพียงพอ เปรียบเหมือนบ้านที่จะแข็งแรงได้ต้องตอกเสาเข็ม และการตอกเสาเข็มต้องถูกต้องตามหลักวิศวกรรม กระทั่งสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้ว่าการทำหัตถกรรมทั้งหลายมีความปลอดภัย มีคุณภาพ ได้มาตรฐานจริง ๆ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็มาเป็นหมอผ่าตัดหัวใจเลย” พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ นายแพทย์ศัลยกรรม และกรรมการแพทยสมาคม ยังฝากไปยังผู้บริโภคที่จะเข้ารับบริการเสริมความงามว่า จากนี้ไปผู้บริโภคต้องให้ความใส่ใจทุกครั้งเวลาที่จะเสริมความงาม โดยควรถามแพทย์ว่าจบแพทยศาสตร์บัณฑิต หรือ จบเฉพาะทางทางใด เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนที่จะเสริมความงาม แต่ทั้งนี้ หากแพทย์ไม่ตอบก็ไม่ควรรักษาด้วยและต้องบอกต่อว่าคลินิกดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์หรือไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การผ่าตัดจะมีผลข้างเคียงหรืออาจมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้

ซึ่งแพทย์ทุกคนก็จะต้องเรียนรู้วิธีแก้ไข ดังนั้น ผู้บริโภคจะต้องสอบถาม รวมทั้งพูดคุยถึงวิธีการรักษาก่อนที่ผ่าตัดและก่อนที่จะเซ็นหนังสือแสดงความยินยอมให้ผ่าตัด นอกจากนี้ นายแพทย์ศัลยกรรม และกรรมการแพทยสมาคม ระบุว่า เมื่อช่วงเช้ามีการจัดประชุมของแพทยสภา ซึ่งได้ทราบข้อมูลว่าจะมีการยกเลิกคณะทำงานพิจารณาหลักสูตรระยะสั้นนี้ แต่แนวทางใหม่จะเป็นอย่างไรคงจะต้องติดตามกันต่อไป

ขณะที่ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า ก่อนหน้านี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ส่งจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข เพื่อคัดค้านข้อบังคับดังกล่าวด้วยเหตุผลว่าเนื้อหาในข้อบังคับดังกล่าว เน้นรับรองหลักสูตรการอบรมระยะสั้นที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคจำนวนมาก และกลายเป็นภาระต่อระบบบริการสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังไม่มีกระบวนการประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ อยากตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะเป็นการทำให้สิ่งที่ผิดกฎหมายกลายเป็นถูกกฎหมายหรือไม่

สารี กล่าวต่ออีกว่า สภาองค์กรของผู้บริโภค มีข้อเสนอต่อเรื่องดังกล่าว 5 ข้อดังนี้ 1) แพทย์สภาควรมีส่วนร่วมในการเพิ่มแรงจูงใจในการผลิตแพทย์ ในสาขาที่ขาดแคลนในระบบบริการสาธารณะสุข 2) ต้องสร้างความเป็นธรรมในการกระจายแพทย์ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะความพอเพียงของแพทย์ในพื้นที่ต่างจังหวัด 3) บทบาทในการควบคุมและกำกับการโฆษณาบริการเสริมความงามต่าง ๆ เช่น กรณีที่แพทย์ผู้ให้บริการโฆษณาคลิกเสริมความงามเอง ซึ่งอาจจะผิดกฎหมาย

4) สัญญาที่เป็นธรรมในการให้บริการ ผู้บริโภคควรได้ทราบว่าแพทย์ที่ตัวเองรับบริการนั้นผ่านการเรียนหลักสูตรสศัลยกรรมตกแต่งโดยตรง หรือเป็นแพทย์ทั่วไปที่ผ่านการอบรมระยะสั้น 5) ควรมีกองทุนชดเชยความเสียหายให้กับผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการ

“ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการเข้ารับริการเสริมความงาม 118 เรื่อง และเมื่อลงรายละเอียดจะพบว่า ปัญหาที่พบถูกร้องเรียนมากที่สุดคือเรื่องสัญญาไม่เป็นธรรม และอันดับต่อมาคือเรื่องการได้รับความเสียหายจากการใช้บริการ เช่น ทำจมูก พบว่ามีหนองไหลออกมาจากโพรงจมูก การยกกระชับริมฝีปากทำให้ปากเบี้ยว หน้าชา การดูดไขมัน การแปลงเพศแล้วพบรอยรั่วที่ทวารหนัก การผ่าตัดหน้าอกแล้วลืมผ้าก็อซทิ้งไว้ คำถาม คือ หากลดมาตรฐานการอบรมลงอีก จะเกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคมากขึ้นหรือไม่” เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภคกล่าว