Update Newsสังคมสังคม/CSRสาธารณสุข

สสส. ชวนน้องๆ เล่นอิสระ เติมเต็มวันว่าง กับโครงการ ปิดเทอมสร้างสรรค์-อัศจรรย์วันว่างปี 63





“ทุกวันนี้เด็กไทยมีเวลาเล่นน้อยลง รายงานวิจัยพบว่าเมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เน้นวิชาการเด็กจะมีเวลาเล่นอิสระไม่ถึง 60 นาทีต่อวัน โดยใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องเรียนและการเรียนพิเศษจึงต้องเร่งสร้างความตระหนักในกลุ่มผู้ใหญ่เพื่อให้ความสำคัญของการเล่นอิสระของเด็ก” น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัวสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เกริ่น ในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ปิดเทอมสร้างสรรค์-อัศจรรย์วันว่าง ปี2563 ที่ สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ ลิโด้ คอนเน็คท์กรุงเทพฯ 


ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสสส.กล่าวว่าสสส.ดำเนินการโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยริเริ่มให้เกิดแพลตฟอร์มออนไลน์ในชื่อ www.ปิดเทอมสร้างสรรค์.com เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล เชื่อมร้อยกิจกรรมจากทุกหน่วยงาน สนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กโต และพื้นที่ “เล่นอิสระ” สำหรับเด็กเล็ก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งสิ้น 298 หน่วยงานเพื่อจะทำให้วันว่างช่วงปิดเทอมของเด็กให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยในปีนี้มี2,228 กิจกรรม ที่เด็กและเยาวชนมีโอกาสเข้าร่วมอย่างน้อย 111,400 คน และมีตำแหน่งงานพาร์ทไทม์รองรับกว่า 10,000 ตำแหน่ง ขณะที่ส่วนภูมิภาคใน 15 จังหวัด มีหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมเพิ่มขึ้น มีกิจกรรมน่าสนใจสำหรับเด็กเยาวชนครอบคลุมทั่วประเทศ 


รูปแบบกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ เน้นการพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะทางสังคม ปลดปล่อยศักยภาพ เพื่อตามหาความฝัน แบ่งปันสังคม และค้นหาตัวตน ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกในยุคปัจจุบันมีสิ่งเร้าทำให้เด็กก้าวพลาด ซึ่งงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ปิดเทอมสร้างสรรค์ -อัศจรรย์วันว่าง ปี2563 สสส.ได้จัดเวทีเสวนา หัวข้อ“เติมเต็มวันว่างอย่างสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญของใครกันแน่” เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มาร่วม แชร์ประสบการณ์ ถ่ายทอดแง่คิดมีหลากหลายมุมมองที่น่าสนใจ


ทิชา ณ นคร (ป้ามล) ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก บอกเล่าในเวทีเสวนาว่าในสังคมไทยมีจำนวนครอบครัว 22.8 ล้านครอบครัว มีเพียงส่วนน้อยที่ช่วงปิดเทอมได้พาลูกไปเที่ยวเมืองนอก มีกิจกรรมให้ลูกทำ แต่มีครอบครัวส่วนมากและมีฐานะอยู่ในระดับต่ำไม่รู้จะไปทางไหนมีตัวอย่างครอบครัวที่แม่เป็นช่างเย็บผ้าใช้วิธีแลกแบงก์ 50 เก็บไว้ ให้ลูกทุกวันเพื่อไปเล่มเกมในช่วงปิดเทอม นึกภาพเด็กไปจมอยู่ในร้านเกม คิดว่าเรื่องเหล่านี่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือภาคประชาสังคม ต้องมาร่วมรับผิดชอบเด็กต้องการพื้นที่ที่สร้างสรรค์แต่หายาก ขณะที่หลายประเทศพร้อมจะลงทุนเพื่อเด็ก เพราะรู้ว่าเมื่อเด็กก้าวพลาด ต้นทุนการเยียวยานั้นสูงมาก และไม่แน่ใจว่าค่าเยียวยานั้นจะทำให้ชีวิตเขากลับมาหมดจดงดงามหรือไม่


“มีบันทึกของเยาวชนบ้านกาญจนาที่ก่ออาชญากรรม เราพบว่ารูปแบบของครอบครัว 21 แบบ เป็นปัจจัยผลักไสไล่ส่งให้ไปก่ออาชญากรรม หนึ่งใน21 ข้อ คือครอบครัวที่ไม่มีกิจกรรมร่วมกัน บ้านเงียบมีไม่ใครพูดต่างคนต่างอยู่กับเทคโนโลยี จนวันหนึ่งเด็กอยากพูดอะไรกับพ่อแม่แต่ความที่ไม่เคยพูดกัน ทำให้ไม่มีทักษะ แม้เป็นเรื่องสำคัญเพราะที่ผ่านมาแม้เรื่องเล็กยังไม่เคยคุยนับประสาอะไรกับเรื่องใหญ่ๆ” ป้ามลสะท้อนปัญหาให้ฟัง




ขณะที่ อรอนงค์ เจริญลาภนำชัย หรือแม่ปุ้ม จากเพจ พาลูกเที่ยวดะ ถ่ายทอดรูปแบบการเลี้ยงลูกที่ต้องพาลูกออกไปนอกบ้านว่า การพาลูกออกไปนอกบ้านช่วยสร้างประสบการณ์เรียนรู้ ได้เห็นชัดว่าลูกมีประสบการณ์ไม่นับความแปลกใหม่ของสถานที่ เพราะทุกอย่างที่เขาเจอคือประสบการณ์ไม่ว่าความไม่ได้ดั่งใจของสภาพดินฟ้าอากาศ ได้เจอผู้คน การต่อรองสินค้า การขอความช่วยเหลือ เหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือมาใช้ในชีวิตประจำวันและอนาคต


“สิ่งแรกที่จุดประกายอยากพาลูกออกไปนอกบ้าน เพราะทุกวันนี้มีสิ่งเร้าเยอะทุกบ้านมีทีวี พ่อแม่มีโทรศัพท์ ต่อให้เราไม่ให้เขาก็รู้ว่าในนั้นมีภาพ ถ้าปล่อยให้อยู่ที่บ้านเขาจะเรียกร้องสิ่งเหล่านี้ ซึ่งกิจกรรมข้างนอกไม่ใช้แค่ไปเที่ยว แค่ไปตลาด ไปตามสวนสาธารณะ จะทำให้เขาจะโฟกัสกับสิ่งรอบตัวแทน ลืมเรื่องการเล่นมือถือดูทีวีออกไป ดังนั้นในช่วง3 ปีแรกของเด็กสำคัญมาก พ่อแม่ต้องทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่มีตัวตน ทำให้ลูกรู้สึกว่าเขาอยู่กับพ่อแม่แล้วปลอดภัย อบอุ่น” แม่อุ้มเล่า




ส่วนนีลชา เฟื่องฟูเกียรติ หรือครูบิร์ด จากเพจเบิร์ดคิดแจ่มBird KidJamบอกเล่าประสบการณ์ในชีวิตของตัวเอง ที่สอดรับกับข้อมูล 3 ปีแรกของเด็กกับพ่อแม่ที่มีตัวตนว่า ตัวเองเป็นเด็กต่างจังหวัด.อาศัยในบ้านพักครู มีเหตุการณ์หลายอย่างเป็นฉากในชีวิต เช่นเราเล่นสมมุติว่าเป็นหมอผ่าตัดกับน้องหาอะไรเล่นกับน้อง ซึ่งเราเล่นกันเอง พ่อแม่ไปทำงานหมด ทำให้ย้อนนึกได้ความมีตัวตนของพ่อแม่ที่มีอยู่ในตัวเราเพราะพ่อแม่เริ่มต้นให้ความรักความอบอุ่นทำให้เรารู้สึกปลอดภัย และมั่นใจที่จะเติบโตขึ้น เด็กอยากอยู่กับพ่อแม่ที่นั่งตักแล้วฟังนิทาน ถามว่าวันว่างทำอะไรแล้วแต่ครอบครัวเราเรียกร้องการทำกิจกรรมวันว่าง ถ้าไม่ได้จะทำอะไร เราต้องใช้ความเข้มแข็งในจิตใจ ถ้าพ่อแม่ไม่สนใจต้องคิดเองได้


ขณะที่น้อง ปราชญา ศิริมหาอาริยะโพธิ์ญา ประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตบางกะปิ วัย 14 ปีในฐานะแกนนำเด็กเยาวชนเรียกร้องให้เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าพบจิตแพทย์ได้โดยที่ไม่ต้องมีผู้ปกครองรับรอง เล่าว่าครอบครัว แม่ลาออกจากงานมาเลี่ยงลูก จำได้แม่อยากให้พูดภาษาอังกฤษจึงทำตัวอักษรภาษาอังกฤษตั้งแต่Aถึง Zติดอยู่ที่ฝาผนังทุกวันนี้ยังอยู่ เราจะมองมองทุกวัน แม่สอนอ่านทุกวัน ตรงนั้นได้รับความอบอุ่น จนเราเข้าโรงเรียนเราไม่รู้ว่าเราอ่านตัวอักษรนี้ได้ รู้สึกว่าแม่เป็นครูเป็นสิ่งใกล้ตัวที่ดีที่สุดในชีวิต ทำให้ชีวิตเรามีความมั่นใจกล้าพูดกล้าแสดงออก


การสื่อสารเชิงบวกในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมีข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ป้ามลเล่าว่าเด็กที่เติบโตโดยไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ เพราะความยากจนหรือพ่อแม่เข้าไม่ถึง พบว่าทักษะการสื่อสารของเด็กต่ำมาก และจะมีปัญหาหลายอย่างตามมา เมื่อต้องแลกเปลี่ยนความคิด ให้คำปรึกษา เรารู้สึกว่าเจอทางตันทุกครั้ง ดังนั้นเราจึงออกแบบกิจกรรมให้เด็กดูภาพการ์ตูนแล้วมาวิเคราะห์ เช่นภาพการ์ตูน พีนอคคีโอที่จมูกยาวขึ้นเรื่อยๆเพราะพูดโกหก แต่พบว่ามีแด็กบางคนไม่เข้าใจการสื่อสารเหล่านี้ เพราะตีความในเชิงสัญลักษณ์ไม่ได้ ทำให้วัยเด็กของเขาไม่สนุก กลายเป็นปัจจัยผลักไสไล่ส่งเด็ก ดังนั้นนิทานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญของวัยเด็ก และโรงเรียนควรมีชั่วโมงเล่านิทานบังคับ


ในจำนวน 22.8 ล้านครอบครัว มีครอบครัวส่วนใหญ่ที่นึกไม่ออกว่าเลี้ยงลูกต้องคุยกัน หรือกำลังคิดว่าต้องหากิจกรรมอะไรให้ลูกทำในช่วงปิดเทอม กิจกรรมใกล้ตัวเช่นการทำความสะอาดบ้าน จัดบ้าน หรือออกกำลังกาย ง่ายๆแค่นี้เท่ากับสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน