เมื่อป่าชายเลนระนอง เตรียมพร้อมขึ้นแท่นสู่มรดกโลก
ไม่นานมานี้ กองบก. Btripnews ร่วมกับคณะสื่อมวลชนได้รับโอกาสให้เดินทางไปเยือน ศูนย์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีทรัพยากรป่าชายเลนที่ 3 (ระนอง) เพื่อเยี่ยมชมแหล่งป่าชายเลนธรรมชาติผืนใหญ่ที่สุดและถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทั้งความงดงามทางธรรมชาติและระบบนิเวศน์ที่พร้อมแล้วสำหรับการยื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งสำคัญของเมืองไทย แล้วที่มาที่ไปเป็นอย่างไร หนึ่งในผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของการลุยงานเพื่อดันให้สถานที่แห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลกได้ คือ ผอ.วิจารณ์ มีผล ผู้ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุด จุดเด่นของพื้นที่ คุณวิจารณ์ มีผล นักวิชาการป่าไม้ชำนาญ การพิเศษ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีทรัพยากรป่าชายเลนที่3 (ระนอง) เปิดเล่าให้ฟังขณะพาคณะเดินลัดเลาะตามเส้นทางเข้าสู่ป่าชายเลนเพื่อชื่นชมธรรมชาติว่า “...ที่นี่เหมือนเป็นแค่จุดเล็ก ๆ ของสังคมที่ไม่มีใครเห็นหรือให้ความสนใจ เป็นพื้นที่ที่มีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ กระจายอยู่บริเวณปากแม่น้ำกระบุรี ชายแดนระหว่างไทย-เมียนมาร์ ด้วยพื้นที่พื้นที่ประมาณ 161,919 ไร่ จุดเด่นของพื้นที่ที่เข้าหลักเกณฑ์มรดกโลกที่มีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล คือป่าชายเลนผืนใหญ่ ที่กั้นระหว่างไทยกับเมียนมา มีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าชายเลนทั้งพันธุ์สัตว์และพืช รวม 500 ชนิดให้เรียนรู้ และสัมผัสกับประสบการณ์ที่มีคุณค่าสากลที่โดดเด่น (Outstanding Universal Value) นับเป็นป่าชายเลนผืนที่ใหญ่ที่สุดและมีความอุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่งของประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยป่าชายเลน ระนอง เข้าหลักเกณฑ์ในการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการส่งให้พิจารณา” ภารกิจหลักของศูนย์ ฯ แต่ก่อนจะไปถึงจุดของการเป็นมรดกโลกได้ ภารกิจหลักของศูนย์ ฯ ทำอะไรบ้าง ผอ. ศูนย์ฯ เล่าถึงภารกิจหลัก ของศูนย์ฯ ว่า “... ภารกิจหลัก ๆ มีสองประการ คือ งานด้านระบบนิเวศน์ป่าชายเลนด้านงานวิจัยต่าง ๆ สองคือส่งเสริมเรื่องการอนุรักษ์ป่าชายเลน ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นที่ศึกษาดูงานของหลายหน่วยงานทั้งไทยและต่างประเทศ มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 พื้นที่ คือ บริเวณสำนักงาน 66 ไร่ ป่าดิบชื้น มีจุดชมวิวที่จะเห็นป่าชายเลนที่สวยงามกว้างไปจนถึงฝั่งพม่า มีสวนรุกขชาติ เนื้อที่ 150 ไร่ ป่าชายเลนบริเวณคลองตำโหงง เนื้อที่ 13,500 ไร่ พื้นที่ป่าชายเลนแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่สำคัญมาก เนื้อที่กว่า 500 ไร่ มีต้นโกงกางยักษ์ สูง 33 เมตร ขนาด 210 เซนติเมตร ซึ่งนักนิเวศวิทยาจากประเทศอังกฤษได้เข้ามาสำรวจพบว่ามีอายุอยู่ระหว่าง 200 กว่าปี องค์สมเด็จพระเทพฯ ทรงเสด็จมาเยี่ยมชมเมื่อปี 2535” พื้นที่ป่าชายเลนแห่งนี้ มีโครงการความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทำให้เป็นพื้นที่ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยสายพันธุ์ของพืชและสัตว์ที่หลากหลาย อีกทั้งมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ในเรื่องความสำคัญของป่าชายเลน โดยในแต่ละปีมีผู้เข้ามาทัศนศึกษา ประมาณ 10,000 คน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ปี 2545 ศูนย์ ฯ สร้างสะพานเพื่อให้คนเยี่ยมชมป่าชายเลนได้อย่างสะดวกขึ้นถือเป็นแห่งแรกของประเทศ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนยูเนสโกแห่งแรกเมื่อปี 2540 เป็นที่คาดหวังขององค์การยูเนสโกที่จะได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลก ผอ.ศูนย์ กล่าวต่อด้วยความภาคภูมิใจว่า “.... ที่นี่ได้รับรางวัลสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ดีเด่น ประจำปี 2547 ล่าสุดปีที่ผ่านมา ได้รับรางวัล ต้นไม้ทรงคุณค่า ( Tree of Siam) จากกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้นไม้ป่าชายเลนต้นแรกที่ได้รับรางวัลนี้” ความหวังของการก้าวสู่การเป็นมรดกโลก ผอ. กล่าวถึงการขึ้นเป็นมรดกโลกว่า “ขั้นตอนการประกาศเป็นมรดกโลก ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก การจัดทำเอกสารเพื่อบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น ( Tentative List) ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางธรรมชาติและคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ประการที่สอง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจากนั้นจะส่งต่อไปยังคณะกรรมการมรดกโลกในต่างประเทศพิจารณาหากเห็นชอบแล้ว จะดำเนินการขั้นตอนต่อไป จึงได้วางแผนเตรียมความพร้อม ทั้งชุมชน วิถีชีวิต เศรษฐกิจ ลงลึกถึงเยาวชนในสถาบันการศึกษา ที่จะเป็นกำลังสำคัญ รักษาป่าชายเลน เพื่อให้ได้รับการพิจารณาเป็นป่ามรดกโลกแห่งใหม่ ในเร็วๆ นี้” ล่องเรือสู่ต้นโกงกางยักษ์ เรือหางยาว เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ผ่านเส้นทางกว้างใหญ่ของสายน้ำ ลัดเลาะเลียบใกล้ป่าชายเลน บริเวณ ต้นโกงกางยักษ์ เจ้าหน้าที่จอดเรืออีกลำรอต้อนรับ “ .... ป่าชายเลนของระนอง สมบูรณ์มากและใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่สำคัญป่าที่ระนองมีความหลากหลายทางพันธุกรรมพืชและสัตว์ สาเหตุเพราะที่นี่มีปัจจัยที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของป่าชายเลน ฝนแปดแดดสี่คงเคยได้ยินเมืองระนองเป็นแบบนั้น มีฝนแปดเดือนแล้งแค่สี่เดือน เพราะฉะนั้นแปดเดือนมีปริมาณน้ำฝนมากทำให้ป่าชายเลนเจริญเติบโตดี สองเพราะพื้นที่ชายฝั่งระนองเป็นพื้นที่ราบ น้ำทะเลท่วมตามน้ำขึ้นและน้ำลงแตกต่างกันถึง 4 เมตร การที่น้ำทะเลท่วมถึง 4 เมตรทำให้ป่าชายเลนกระจายไปได้ไกลและเจริญเติบโตได้ดี และมีลำคลองเล็ก ๆ เชื่อมต่อกันออกไปอีกเป็นลักษณะพิเศษกว่าที่อื่น เรื่องแหล่งประมงก็สำคัญมาก อดีต ในปี 2519 ป่าชายเลนของระนองเป็นป่าสัมปทาน ให้เอกชนมาสัมปทาน ระยะยาว 15 ปี มีการตัดไม้ แต่หลังจากนั้นปี 1996 รัฐบาลปิดป่าชายเลนทั่วประเทศให้เป็นแหล่งอนุรักษ์ แต่อนุโลมให้ชาวบ้านเข้าไปทำกินได้ ที่สำคัญหลังจากที่เราอนุรักษ์ป่าชายเลนไว้ ตอนนี้ถือเป็นแหล่งประมงที่สมบูรณ์ปัจจุบันจับปูดำได้ถึงสองร้อยตัน เพิ่มขึ้นมาก เพราะป่าสมบูรณ์ขึ้น ทำรายได้ให้กับประชาชนมากขึ้น และที่ผ่านมา ป่าชายเลนลดความรุนแรงของคลื่นลมจากสึนามิได้ด้วย ด้วยเพราะสังคมของรากไม้โกงกางประสานกันแน่นทำให้เกิดความเสียหายบางส่วนเท่านั้น เราก็บอกชาวบ้านว่า ต้องช่วยกันปลูกป่าชายเลนจะช่วยในเรื่องของการเป็นกำบังคลื่นลมได้ ด้านความสวยงามทางธรรมชาติ ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมป่าชายเลนที่มีระบบนิเวศน์ที่สวยงาม ช่วงน้ำขึ้นเป็นสภาพแบบหนึ่งและน้ำลงก็จะเห็นอีกแบบหนึ่ง สามารถมาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่ว่าถ้านั่งเรือเยี่ยมชมต้องสอบถามมาล่วงหน้าเพื่อเช็คระดับน้ำ” การจัดการด้านการท่องเที่ยวป่าชายเลน ผอ. ศูนย์ ฯ กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาติดต่อที่ศูนย์ฯ แห่งนี้ได้ โดยทางเราจะประสานกับเรือชาวบ้าน เพื่อนำนักท่องเที่ยว เที่ยวชมป่าชายเลนได้ เป็นการช่วยเหลือชาวบ้าน โดยคิดราคาลำละ 2,000 บาท เป็นเรือใหญ่ นั่งได้ 14 คน เป็นการจัดการท่องเที่ยวแบบ One Day Trip ใช้เวลาในการล่องเรือ 2 ชั่วโมง ก็จะพาไปคลองบางโขง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ ไปชมต้นโกงกางยักษ์ ไปแวะชุมชนชาวเลบ้านเกาะเหลา ซึ่งปัจจุบันมีชาวประมงอยู่ราว 200 คน หากสนใจสามารถติดต่อได้ ตอนนี้ต้องยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ มีจำนวนน้อยและต้องเน้นในเรื่องงานวิจัย การจัดการด้านท่องเที่ยว ยังไม่มีงบพัฒนาด้านการท่องเที่ยวลงมา หากมีลงมาการจัดเรือนำเที่ยว คงจะหาเรือให้เล็กลงและมีราคาที่ถูกลงได้” สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีทรัพยากรป่าชายเลนที่3 (ระนอง)