Update Newsสังคมสังคม/CSRสาธารณสุข

เรือนจำกลางชลบุรี คลิกออฟเร่งฉีดวัคซีนพระราชทานซิโนฟาร์มวันแรก  ตั้งเป้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โควิด19 ในผู้ต้องขัง

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน 2564 นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วยนายนริศ มิรามัยวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นางสุภาพร เทียนไชย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี พร้อมคณะ แพทย์หญิง แววดาว พิมลธเรศ (นายแพทย์เชี่ยวชาญ) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านบึง นายพิสิษฐ สิริสวัสดินุกูล นายอำเภอบ้านบึง และผู้แทนจากสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ต้องขังที่เข้ารับการฉีดวัคซีนพระราชทานซิโนฟาร์ม โดยมีนายชาญ วชิรเดช ผู้บัญชาการเรือนจำกลางชลบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางชลบุรี ให้การต้อนรับ


ด้วยพระกรุณาธิคุณของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ทรงห่วงใยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19



 

 

 

และทรงให้ความสำคัญต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่มีความจำเป็น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ในประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานวัคซีนซิโนฟาร์ม เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมมายุครบ 64 พรรษา 4 กรกฎาคม 2564 จำนวน 6,400 โดส ให้แก่กรมราชทัณฑ์ โดยได้คัดเลือกเรือนจำกลางชลบุรี เนื่องจากเป็นเรือนจำที่อยู่ในพื้นที่สีแดงซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 เป็นเรือนจำที่มีผู้ต้องขังจำนวนมาก และเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดภายใน



 

 

 

 อีกทั้งยังจัดให้เป็นเรือนจำความมั่งคงสูงที่มีอำนาจการควบคุมผู้ต้องขังกำหนดโทษจำคุก 15 ปี ตลอดจนขณะนี้เป็นเรือนจำที่ต้องรองรับผู้ต้องขังเข้าใหม่จากเรือนจำกลางสมุทรปราการ และเรือนจำกลางฉะเชิงเทรา ทำให้ในปัจจุบันมีผู้ต้องขังทั้งสิ้น ประมาณ 6,200 คน มีความจำเป็นต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 เป็นอย่างมาก


สำหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานซิโนฟาร์มครั้งนี้ เรือนจำกลางชลบุรีได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากส่วนราชการในพื้นที่ ทั้งจากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี โรงพยาบาลบ้านบึง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ในการสนับสนุนระดมทีมบุคลากรทางการแทพย์ เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง จำนวน 3,200 คน คนละ 2 เข็ม (เข็มที่1 และเข็มที่ 2 ห่างกัน 4 สัปดาห์) โดยเป็นการคัดเลือกผู้ต้องขังในแดน 1 แดน 10 ที่มีโรคประจำตัวเป็นกลุ่มนำร่องที่ควรจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด – 19 ก่อน 

ประกอบด้วย กลุ่มผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน 


กรมราชทัณฑ์ได้ระดมสรรพกำลังอย่างเต็มกำลังความสามารถในการส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้เข้าถึงการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วและจะทยอยจัดสรรวัคซีนที่ได้รับกระจายส่งไปยังเรืยนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ เพื่อให้บริการฉีดกับผู้ต้องขังอย่างทั่วถึงครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป


ปริญญา/ข่าว/ภาพ