สุขทันที… ฝนนี้ที่ “อุไทย” ได้ใจเต็มๆ
มาแล้ว … อย่างที่ได้บอกกันเอาไว้ สำหรับ fc บีทริปนิวส์ ทริปนี้เราจะพาไปที่อุทัยธานีและสุพรรณบุรีกัน โดยชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำสื่อมวลชนและคณะลูกทัวร์วัยเก๋าร่วมเดินทางกันอีกครั้ง ระหว่างวันที่ 2- 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา นำโดย คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ และคุณสัมพันธ์ สุภาภักดี ผอ.ททท.สำนักงานอุทัยธานี
อุทัยธานี… เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ

Day 1
มาเริ่มกันตั้งแต่ที่แรกเลยละกัน กับ อุไทย ธานี ซึ่งเดิมอุทัยธานี สะกดว่า อุไทยธานี เก๋ไก๋ไม่เบา
หลังล้อหมุนออกตัวจากกรุงเทพมหานครกัน ด้วยรถโค้ชขนาดใหญ่และรถตู้ 2 คัน ขบวนเล็กๆ ก็วิ่งฝ่าอากาศเย็นฉ่ำจากสายฝนที่ประพรมลงมา ไม่นานนัก คณะก็เข้ามาถึงนครสวรรค์ วัดพระปรางค์เหลือง อำเภอพยุหคีรี ที่เที่ยวเปิดทริปของเรา
“ แจกคะแจก เสื้อกันฝนคร๊า ” พี่ๆ ชมรมฯ เดินแจกเสื้อกันฝน สำหรับให้สมาชิกได้ลงไปเที่ยวกันแบบไม่เปียกปอน แม้ฝนจะลงมาแบบเปาะแปะแล้วก็ตาม

1.วัดพระปรางค์เหลือง
วัดพระปรางค์เหลือง อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ที่นี่ถือเป็นวัดเก่าแก่มากวัดหนึ่ง ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จพระพาสต้นถึงสามครั้งและครั้งที่สำคัญที่สุดคือครั้งที่ 2 ที่ หลวงพ่อเงิน ได้ถวายการรดน้ำมนต์แด่พระองค์ท่าน หลังจากนั้นท่านก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระครูพยุหนุสาสก์” ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอพยุหะคีรี ที่มีชื่อเสียงด้านรดน้ำมนต์ “จินดามณี”
ภายในวัดมีโบราณสถานสำคัญหลายแห่งให้เยี่ยมชม ถือเป็นชุมชนและแหล่งอารยธรรมโบราณมาก่อน





และที่องค์พระปรางค์เหลืองซึ่งเป็นปรางค์องค์เดิม เล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นเจดีย์องค์เก่าตั้งแต่สมัยทวาราวดี และมาบูรณะสมัยอยุธยา โดยหลวงพ่อเงิน ปัจจุบันมีการสร้างองค์พระปรางค์เหลืององค์ใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นสีขาวทั้งองค์สูง 29 เมตร อยู่บนฐานสูงสามชั้น เป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลาย ตรงกลางขององค์ปรางค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ
เดินทางกันต่อ เพื่อไปยังเมืองหมุดหมายปลายทาง จังหวัดอุทัยธานี เมืองชนกพระจักรี ที่วัดสะแกกรัง หรือวัดสังกัสรัตนคีรี



พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/ZS7Prhf55AqnSAe47
2.วัดสะแกกรัง หรือ วัดสังกัสรัตนคีรี
วัดสะแกกรัง ตั้งอยู่บนยอดเขาสะแกกรังเป็นทั้งวัดและเป็นจุดชมวิวเมืองกว้างอีกแห่งหนึ่ง เป็นที่ตั้งของมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง ด้านหน้ามีระฆังใบใหญ่ที่พระปลัดใจและชาวอุทัยฯ ร่วมกันสร้างขึ้น ถือกันว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์

ด้วยเพราะตั้งอยู่บนยอดเขา หากมาด้วยรถโค้ชจะขึ้นไปยังวัดก็จะต้องขึ้นรถราง เพื่อไปสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนนาถ แห่งรัชกาลที่ 1



นอกจากนั้นยังได้ประกอบไปด้วยหมุดโลก หรือชื่อเป็นทางการว่า หมุดศูนย์กำเนิดพื้นหลักฐาน ถือเป็นหมุดแผนที่โลก1 ใน 3 ของหลักหมุดโลกของทวีปเอเซียที่ควรค่าแก่การได้เยี่ยมชม อีกทั้งยังมี พิพิธภัณฑ์ ประวัติเมือง และองค์พระพุทธรูปที่สวยงามมาก ๆ อีกด้วย นอกจากนี้ด้านล่างยังมีร้านรวงให้ช็อปปิ้ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องลางของขลังบ้างไม่ขลังบ้าง เอาไว้ให้เลือกสรรกัน
“ยังมีอีกร้านนะคะ กระจายอุดหนุนได้คะ” สมาชิกชมรมฯ ช่วยกันเชียร์ คุณน้า คุณอา ลูกทัวร์คุณภาพที่ไม่ว่าจะไปที่ไหน เป็นช็อปทุกแห่ง ( อันนี้คอนเฟิร์มตั้งแต่ทริปก่อนๆ คะ )ได้ติดไม้ติดมือกันคนละนิดคนละหน่อย แม่ค้าก็ยิ้มปลื้ม ลูกค้าก็ปลื้มใจคะ












พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/NsncDDVhBXDqut8R7
3.ล่องเรือสะแกกรัง ริเวอร์ครุยส์
แล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวัน มื้อแรกของทริป แม้คณะลูกทัวร์อายุรวม ๆ ก็หลายพันปี แต่ขอบอก.. ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงมาก ๆ เดินลิ่ว ๆ ลงเรือได้อย่างทะมัดทะแมง เพราะวิถีชาวแพที่เราจะได้ไปเจอเป็นวิถีชุมชนที่น่ามาเยือนอย่างมาก เอ.. หรือว่าหิวข้าว 555



ทางคณะใช้บริการเรือสองลำ ที่แล่นไปตามลำน้ำสะแกกรัง พร้อมกับบริการอาหารที่บอกเลยว่า อร่อยมาก แถมยังหมดแล้วเติม หมดแล้วเติมอีก ถูกอกถูกใจกันยกใหญ่



และที่ถูกใจยิ่งกว่าคือ แพจำหน่ายอาหารแห้งประเภท ปลาส้ม ปลาย่าง น้ำพริกปลาย่าง และน้ำพริกอื่นๆ ของ “ร้านป้าแต๋ว” แพจำหน่ายสินค้าที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวบนแม่น้ำสะแกกรัง ที่อยู่อาศัยเป็นที่ทำกินบนผืนน้ำแห่งนี้มาจากรุ่นต่อรุ่น บ้านบางหลังอายุนับร้อยปี เป็นบ้านทรงปั้นหยา





มีการทำประมงน้ำจืดเกือบทุกครัวเรือน ส่วนใหญ่เลี้ยงไว้ขาย ขณะที่ชาวแพบางหลังปลูกผักปลูกพืชโดยถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยแท้ ไม่ใช่แค่เลี้ยงปลาในกระชังเพียงอย่างเดียว
ที่มาของชื่อแม่น้ำสะแกกรัง มาจากชื่อของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำและมีต้นสะแกขึ้นอยู่ตามริมสองฝั่งอย่างหนาแน่น ซึ่งจะออกดอกเล็ก ๆ เป็นช่อยาวสีเขียวอมเหลืองลงมาริมน้ำ จนคนสัญจรไปมาเห็นแล้วก็รู้ว่าถึงหมู่บ้านสะแกกรังแล้ว
… วันนี้ แม้จะเป็นวันธรรมดา แต่เรายังเห็น เรือบริการนักท่องเที่ยวที่มีฝรั่งเต็มลำ สวนกันไปมา โบกไม้โบกมือทายทัก ราวกับรู้จักกันมาก่อน นี่กระมังเสน่ห์ของไทยแลนด์ แดนดินถิ่นสมายล์ … ไม่ใช่เพียงแค่เสน่ห์วิถีของชาวแพบนสายน้ำ
นอกจากนี้ ทิวทัศน์ริมลำน้ำสะแกกรัง ยังคงมีวัดที่น่าสนใจอย่างวัดอุโปสถาราม วัดที่สร้างตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์



4 วัดอุโปสถาราม
วัดตั้งอยู่ที่ตำบลเทโพ เดิมชื่อ “วัดโบสถ์มโนรมย์” ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดโบสถ์ รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรวัดแห่งนี้ เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมราษฎร เมื่อปี 2425
ที่นี่งดงามด้วยจิตรกรรมฝาผนังบริเวณด้านหน้าพระวิหาร เป็นภาพถวายพระเพลิงและวิถีชาวบ้านสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ภายในประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ขนาบซ้ายขวาด้วยพระพุทธรูปฝั่งละหนึ่งองค์ …

ที่นี่มีมณฑปแปดเหลี่ยม 2 ชั้น ซึ่งสร้างได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก มีบันไดวนอยู่ด้านนอกอาคารหลังคาเรือนประธานเครื่องไม้มุขกระเบื้องซีเมนต์ …. และผนังด้านนอกตกแต่งประติมากรรมปูนปั้น รูปพระอุ้มบาตร รายล้อมด้วยลายพรรณพฤกษา หงษ์ และนกกระสา
มณฑปแห่งนี้สร้างโดยหลวงพิทักษ์ภาษา ( บุญเรือง พิทักษ์อรรณพ ) ในปี 2442 เพื่อถวายแด่พระสุนทรมุนี (จัน) ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดและเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ในช่วงร. 5 นอกจากนี้ยังมีเจดีย์สามสมัย ที่อยู่ด้านหลังวิหาร ซึ่งสร้างขึ้นพร้อมกันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อีกด้วย






พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/ss6aPY13UcT1T6Ys5
5 อุไทย เฮอริเทจ โฮเทล
ที่อุไทย เฮอริเทจ (Uthai Heritage Hotel ) เป็นโรงแรมที่ปรับโฉมจากโรงเรียนเก่าสู่บูติกโฮเทล และใช้ชื่ออุไทยซึ่งเดิมอุทัยธานี สะกดว่า อุไทยธานี เราว่าชื่อสะกดแบบเดิมเก๋ไก๋กว่าด้วยซ้ำ
ที่นี่ “อุไทย เฮอริเทจ” ป้ายหน้าทางเข้าระบุชื่อ “โรงเรียนอุทัยวิทยาลัย” เป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกในตัวเมืองอุทัยธานี ยุคสมัยเปลี่ยนเจ้าของเดิมยกเลิกกิจการและขายให้กับนายห้างควร พรพิบูลย์ ได้ซื้อเก็บไว้ และตกทอดมาถึงรุ่น “ทพ.กฤตพล พรพิบูลย์” ที่ต้องการสานต่ออดีตอันน่าจดจำนี้ไว้ ด้วยการสร้างสรรค์ที่พักในสไตล์บูติกโฮเทล ให้มีสไตล์เหมาะกับการพักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์ในกลิ่นอายวินเทจ หลังจากที่โรงเรียนปิดกิจการถูกทิ้งร้างมานานนับปี


“คุณหมอกฤตพร พรพิบูลย์“ เจ้าของและผจก.โรงแรม อุไทย เฮอริเทจ นอกจากจะมารับคณะของเราแล้ว ยังเล่าให้ฟังถึงที่มาของ ที่นี่ว่า “ที่อุไทย เฮอริเทจ เปลี่ยนอาคารโรงเรียนเก่าอายุ 70 ปี เป็นโรงแรมบูติค ที่เชื่อมโยงความผูกพันธ์ของเพื่อนๆ และมิตรภาพของเพื่อนๆ
อยากเชิญชวนทุกท่านมาเยี่ยมเมืองอุทัยธานี เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบสงบ มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ที่มาแล้วเหมือนกับเราได้ย้อนกลับไปในอดีต ได้ชมวิถีท้องถิ่นที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติ มีตลาดเช้า และที่แม่น้ำสะแกกรังมีการล่องเรือ ชมชีวิตเรือนแพ
อุไทย เฮอริเทจ เรานำอารมณ์ความเป็นโรงเรียน นักเรียน มิตรภาพในวัยเด็กกลับมาสร้างบรรยากาศนั้นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับความสะดวกสบายในโรงแรม มาจะได้แต่งชุดนักเรียน มาย้อนวัย มาสนุกกับมิตรภาพในวัยเรียนกัน มามีความสุขสดชื่นอีกครั้ง ”


… นั่นทำให้เมื่อมาถึงโรงแรม ฯ ทั้งสื่อและลูกทัวร์ต่างตื่นเต้นวิ่งเข้าใส่มุมให้เช่าชุดนักเรียนอย่างที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ในใจล่วงหน้า …ความชุลมุนเกิดขึ้นชั่วขณะเมื่อนับสิบกว่าชีวิตเข้าไปรุมพร้อมกัน ดีนะไม่ใส่กันทั้งคณะ
“ชุดนี้เล็กไปคะ”
“รองเท้าลูกเสือครับ มีป่าวครับ”
“ไม่มีชุดใหญ่กว่านี้เหรอครับ… ปลิ้น”
“ตัวนี้ใหญ่ไปอ่ะคะ” และ….

เสียงเฮฮาของนักเรียนวัยเก๋า ไม่ได้อยู่แค่ชุดย้อนอดีตที่ร่วมรำลึกชีวิตวัยเยาว์กันเท่านั้น แต่รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าของแต่ละคน บ่งบอกถึงความสุขในการได้มีโอกาสทำบุญอีกด้วย เพราะชุดที่เช่า ชุดละ 100 บาท โดยแบ่ง 80 บาทรวบรวมในการทำบุญทำทานต่อ ส่วนชุดที่ให้เช่าก็มีทั้งชุดนักเรียนหญิง คอซอง ชุดลูกเสือ เนตรนารี รองเท้า ทุกอย่างจัดมุมเอาไว้ให้อย่างดี
ในที่สุดทุกอย่างก็เข้าสู่โหมดความเรียบร้อยด้วยระบบการจัดการของโรงแรม แต่อาจจะมีเคืองกันบ้างในบางคน ที่หุ่นโอเวอร์ไซส์เกินกว่าชุดจะรับได้ จะกลายเป็นทำลายข้าวของของโรงแรมฯไป อิอิ

หลังแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย จุดแรกคือ ต้องไปถ่ายรูปกันหน้าเสาธง ก่อนจะเรียงแถวกันเข้าห้องเรียน ภายในห้องเรียน ประธานชมรมฯ คุณแอ๊ว – วรางคณา สุเมธวันและกรรมการ ถือไม้เรียว กำกับนักเรียนวัยเก๋า ทั้งท่องก.ไก่ ทั้งร้องเพลงเด็กเอ๋ย เด็กดี และ…งานนี้ดูจะเป็นช่วงเอาคืนของท่านประธานและเหล่าคณะกรรมการยังไงก็ไม่รู้ ใครร้องไม่ได้มีทำโทษจร้า … สรุปถ้าเป็นห้องเรียนจริง คงโดนลงโทษกันถ้วนหน้าเพราะร้องกันได้อย่างไพเราะคนละทิศคนละทางเป็นอย่างมาก แม้แต่ท่องสูตรคูณยัง …ได้ยินเสียง หงึ่มหงั่ม… หงึ่มหงั่ม …555



ในช่วงหกโมงเย็น ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ ซึ่งเป็นช่วงของการชักธงชาติลง โรงแรมจัดให้ร่วมเคารพธงชาติหน้าเสาธงได้ หากใครต้องการ
ด้วยแนวสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลผสานโครงสร้างโรงเรียนเดิม ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านแนวคิด ทั้งโรงเรียน โรงแรม โรงสีข้าว อันเป็นธุรกิจของครอบครัว และโรงไม้ แหล่งไม้ที่มีชื่อเสียงในอดีต ทำให้ อุไทย เฮอริเทจ โฮเทล ถือเป็นหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวอันทรงคุณค่าของชาวอุทัยธานี แม้ไม่ได้เข้ามาพัก แค่มาจิบกาแฟ ชิมอาหาร ชื่นชมบรรยากาศก็ไม่ควรพลาด



…ประเทศไทย … รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย








พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/gUJw6pnPYCpgLDiX6
Day 2
… อรุณสวัสดิ์ เช้าวันใหม่ ณ โรงแรมธาราฮิลล์
6. สวิตเซอร์แลนด์แดนอุทัยและหุบป่าตาด

ล้อหมุนกันไปที่อำเภอลานสัก เพื่อไปชมวิวสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ที่สุดสวยด้วยเขาหินปูนของเขาปลาร้า หุบป่าตาดและเขาที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
ที่นี่จัดมุมเอาไว้ให้ถ่ายภาพเห็นวิวกัน จุดไฮไลต์เดิมจะเป็นตาลคู่ ซึ่งปัจจุบันเมื่อมีการสร้างจุดชมวิวเอาไว้ หลายคนก็ไม่ค่อยรู้กันสักเท่าไหร่





หลังจากนั้นเราก็เดินทางกันต่อไปยังหุบป่าตาด ตำบลทุ่งนางาม บริเวณเขาห้วยโศก เป็นภูเขาบริวารของเขาปลาร้าซึ่งอยู่ในความดูแลของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน
ที่นี่สภาพภูมิศาสตร์แปลกตา มีพันธุ์ไม้หายากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเต่าร้าง เปล้า ลักษณะของหุบป่าตาดจะเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ภายใน ที่เต็มไปด้วยผืนป่าต้นตาดและพันธุ์ไม้โบราณ









ช่วงหน้าฝนสัตว์โดดเด่นตัวน้อยที่ชื่อ กิ้งกือมังกรสีชมพู จะเดินออกมาตามซอกหินเผยโฉมให้เราเห็นในช่วงเดือนสิงหาถึงพฤศจิกายนเท่านั้น ถือเป็นสัตว์หายากที่พบที่หุบป่าตาดเพียงแห่งเดียวของไทย



การเตรียมพร้อมสำหรับเข้าถ้ำก็สำคัญมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเรื่องของการทายากันยุง เรื่องของการเตรียมไฟฉาย หากเอาไปเองก็จะสะดวกกว่า เมื่อเดินเข้าสู่ภายในถ้ำ จะมืดมาก ค่อยๆ เดินตามกันไป ค่อยๆ ซึมซับบรรยากาศภายในถ้ำ ซึ่งเป็นทางเดินที่จะไปออกสู่บริเวณพันธไม้โบราณ และส่วนของบริเวณภูเขาหินที่ยุบตัวลงมากลายเป็นโพรงสวยงาม


ระยะทางในการเดิน มีให้เลือกว่าจะเดินเทรลไปจนสุดเส้นทาง หรือไม่ก็สามารถเดินย้อนกลับมาสู่ด้านหน้าถ้ำได้ไม่ไกลนัก ผู้สูงอายุสามารถเดินได้ มีเพียงบันไดไม่กี่ขั้นที่เชื่อมระหว่างปลายอุโมงค์ถ้ำกับบริเวณไม้พันธ์แปลกหายาก



พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/9BG5AB9UwKffREyRA
7.หมู่บ้านท่าโพ
หลังจากนั้น เราเดินทางกันต่อไปยัง ชุมชนบ้านท่าโพ เพื่อรับประทานอาหารกลางวันแบบอาหารพื้นบ้าน

ที่ชุมชนบ้านท่าโพ เป็นชุมชนเก่าสันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นหมู่บ้านไทยที่เก่าแก่ของอุทัยธานี ที่สำคัญคือ ที่นี่เป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ที่ยังมีการสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

มีการละเล่น ลิเกระบำ เพลงฉ่อย เพลงชาตรี เพลงเกี่ยวข้าว เพลงแห่นางแมว และการละเล่นพื้นบ้านที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์มากมาย

วันนี้ถือว่าพิเศษสุดๆ สำหรับเรา ที่ได้มีโอกาสเข้ามาที่นี่ บอกเลยประทับใจกันสุด ๆ เริ่มตั้งแต่การยืนต้อนรับตั้งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้านของคุณป้า ๆ ในชุดผ้าไทยสีม่วงสวยงาม
การหาบสำรับอาหารในภาชนะเบญจรงค์เรียงรายเข้ามาเสริฟให้กับคณะ ซึ่งแบ่งกันเป็นสำรับละ 5 คนนั่งล้อมวงทานอาหารกันตามอัธยาศัย การแสดงแหล่ ร้องเพลงละเล่นพื้นบ้าน ซึ่งอาจารย์สำเริง รงค์ทอง ได้ทำการสืบทอดและอนุรักษ์เอาไว้ โดยมีการจัดสอนนักเรียนและเยาวชนบ้านท่าโพได้ฝึกร้องและเล่นเพลงจากพ่อเพลงแม่เพลงรุ่นเก่า






ชาวบ้านในหมู่บ้านท่าโพและหมู่บ้านพันสี จะมาร่วมกันจัดการละเล่นพื้นเมืองขึ้นที่วัดท่าโพในช่วงสงกรานต์ของทุกปี มีการเล่นเพลงชักกะเย่อ เพลงรำวงโบราณ แต่ละเพลงมีท่ารำประกอบเฉพาะ
ลักษณะเด่นของเพลงพื้นบ้าน คือเรียบง่าย ฟังแล้วเข้าใจทันที การใช้คำเลือกใช้คำไทยไท้ มีการร้องซ้ำคำ ซ้ำ วรรค มีทำนองหลักเพียงทำนองหลักเดียวร้องซ้ำไปมาหลายเที่ยว นอกจากนั้นยังมีจุดเด่นเรื่องอาหารที่มีความหลาหลาย ทั้งคาวหวานเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา
ระหว่างทานอาหารกลางวัน มีการแสดงและการแนะนำวิถีของชาวชุมชน เราเหลือบมองไปรอบๆ นอกเหนือจากบนเวทีที่กำลังร่ายรำเพลงสำเนียงแปร่งปร่า ทั้งเฮฮา ทั้งมากค่าของหมู่บ้านท่าโพวันนี้ เราเห็นคุณป้าชุดม่วงเดินกันเต็มลาน
อ้าว.. นั่นคุณป้าที่หาบสำรับข้าวเข้ามาเสริฟนี่นา
อ้าว… นั่นคุณน้าที่เพิ่งร้องเพลงพื้นบ้านให้ฟังนี่นา
อ้าว… นั่นคุณอาที่ต้อนเรารำวงนี่นา

สรุป…คุณป้า คุณน้า คุณอา แต่ละคนแม้จะมีหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความสามารถมากกว่าหนึ่ง นอกจากจะร้องเพลง ทำอาหาร ยังมีลีลารำวงโบราณเหลือล้ำอีกด้วย
ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่ไม่อยากให้พลาด เมื่อมาอุทัยฯ ทางเข้าอาจจะลึกแต่ให้ตั้งจีพีเอสเข้ามา หลายเรื่องราวควรค่าแก่การอนุรักษ์ อย่างน้อยมาช่วยกันอุดหนุน อาหารพื้นถิ่นฝีมือชุมชน มาอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนกัน





8 วิหารแก้ว วัดท่าซุง
ไปต่อกันเลย วัดท่าซุง สร้างโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เป็นวัดที่โดดเด่นด้านความสวยงามของวิหารแก้ว ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลองและร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อยอยู่บนปราสาททองคำและตกแต่งด้วยทองคำตระการตา

วิหารสร้างด้วยโมเสกสีขาวใสดูเหมือนแก้วแวววาว ช่วงเช้าเปิดให้ชมตอน 9.00-11.45 น.ช่วงบ่าย 14.00 – 16.00 น.
นอกจากนี้ยังมีปราสาททองคำตกแต่งด้วยทองคำตะการตา ฝีมือประณีต

สถานที่สวยงาม พุทธศาสนิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธาต่างมุ่งหน้าเข้าสู่วัด แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงเห็นจะเป็นการพูดการจาของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่แรกเข้าประตู จุดถอดรองเท้า ไปจนถึงด้านในใกล้พระพุทธชินราชจำลอง เปิดให้บริการดอกไม้ธูปเทียน ขอเตือน !! ใครอย่าได้เผลอไปจับของที่ตั้งวางเรียงรายก่อนได้รับอนุญาตนะ จะถูกตวาดให้ในทันที แม้จะเพียรขอโทษและบอกถึงความประสงค์ที่เพียงแค่อยากจะถ่ายภาพเพื่อประชาสัมพันธ์ให้เท่านั้น นางยังคงต่อว่าต่อขานและตำหนิติเตียนไม่เลิก … ป๊าดดด
ได้แต่แอบคิดในใจ… คงจะไม่มาเป็นภาระของเจ้าหน้าที่วัดอีก เพราะได้ยินเสียงที่บ่นผ่านโทรโข่งให้ได้ยินว่า “…คนมากันเป็นหมื่นจะบอกกันทุกคนได้ไงหมด”
สวัสดี


9.ถนนคนเดินตรอกโรงยา

เดินทางกันต่อดีกว่า คราวนี้ไปที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา อยู่ถนนมหาราช เป็นถนนที่ได้รับการบูรณการกันระหว่างเอกชน รัฐและมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ระหว่างคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่






ภายในมีมีโรงยาฝิ่น เซ็กเกี๋ยกั้ง ตั้งอยู่ มีน้องยุวมัคคุเทศก์ มาอธิบายถึงที่มาให้กับพวกเราฟัง เปิดให้เยี่ยมชมในช่วง 17.00 น. ภายในจัดแสดงเรื่องราวที่มาของฝิ่นสมัยที่ถูกต้องตามกฎหมาย
บ้านเล่าเรื่อง โรงยาฝิ่นแห่งนี้ เกิดขึ้นจากคณะทำงานจากม.ราชภัฎนครสวรรค์ ได้ทุนจากกรมการค้าภายในให้มาทำงานวิจัย ณ ที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา เซ็กเกี๋ยกั้ง เมื่อลงพื้นที่ทำให้ทราบถึงความต้องการของชุมชน อยากให้มีโรงยาฝิ่นจำลองเพื่อสื่อถึงความเป็นมาของคำว่า ตรอกโรงยา และได้รับงบสนับสนุนมาจำนวนหนึ่งพร้อมกับผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันสร้างงานครั้งนี้เป็นเงินรวม 500,000 บาท







ในอดีต ถนนสายนี้เป็นแหล่งทำมาหากินของคนจีนอพยพที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่อุทัยธานี ส่วนชื่อถนนคนเดินตรอกโรงยานั้นมาจากคนจีนกลุ่มหนึ่งได้มีการตั้งขบวนการอั้งยี่ โดยมีเถ้าแก่จีนในซอยนั้นเป็นผู้นำได้สร้างโรงฝิ่นอย่างถูกต้องตามกฎหมายขึ้นมาในสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งต่อมาปี 2500 ได้มีคำสั่งให้ปิดลง จึงกลายมาเป็นตำนานชื่อตรอกโรงยาในปัจจุบัน
ถนนคนเดินนี้เปิดทุกวันเสาร์ เวลา 16.00- 21.00 น.


พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/sW8VjZiHPkWU6VM78
Day 3
10 ต้นไม้ยักษ์บ้านสะนำ ป่าหมากล้านต้น

เข้าสู่วันที่สาม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี ก่อนจะระเรื่อยกลับไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี บางบัวทองและมุ่งหน้าสู่กทม.
เช้านี้คณะตื่นนอนหน้าตาแจ่มใส เตรียมพร้อมกับการช็อปปิ้ง เอ๊ย ไม่ใช่ เตรียมพร้อมกับการเดินทางกันต่อ คราวนี้ไปดูต้นไม้ยักษ์ กันที่บ้านสะนำ

ต้นเลียงผื้ง (ต้นเซียง) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ ต้นไม้ยักษ์”ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าหมากขนาด 2 ไร่กว่า ของลุงเฮียง – ป้าจีน ชาวป่า ท้องที่บ้านสะนำ อำเภอบ้านไร่ อายุประมาณ 400-500 ปี
ต้นไม้ยักษ์ (ต้นเลียงผึ้ง) ขนาด 40 คนโอบ มีความสูง 53 เมตร อายุประมาณ 300 ปี เป็นต้นไม้ใหญ่ยืนต้นท่ามกลางป่าหมากในอดีตถือเป็นจิตวิญญาณของชุมชนอยู่ใกล้ศาลเจ้าบ้านอันเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวไทยเชื้อสายลาวทุกหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยต้นหมาก จำนวนมากหรือที่เรียกว่า ป่าหมากล้านต้น ทุก ๆ ปี ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 จะมีพิธีเลี้ยงเจ้าบ้านและประเพณีปิดบ้าน ซึ่งสืบสานกันมาเนิ่นนานเมื่อครั้งอพยพมาจากเวียงจันทน์ เป็นพิธีแสดงความกตัญญูและความเคารพต่อวิญญาณบรรพบุรุษที่ปกปักรักษาคุ้มครองและให้อยู่ดีกินดี ซึ่งต้นไม้ยักษ์นี้เป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมนั้นด้วย



และในปี 2561 กระทรวงวัฒนธรรมได้คัดเลือกต้นเลียงผื้ง หรือต้นไม้ยักษ์ให้เป็นรุกขมรดกของแผ่นดิน และถือเป็น Unseen ของอำเภอบ้านไร่ ที่ได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์มีตลาดต้นไม้ยักษ์ ที่ชาวบ้านจะนำสินค้าท้องถิ่นมาวางจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวทั้งเสื้อผ้า เครื่องจักสาน สมุนไพรอบแห้ง อาหาร และขนมต่าง ๆ
หากใครไปเที่ยว เดินผ่านร้านเล็ก ๆ ริมทางเดิน อาจจะเจอ “ลุงเฮียง” เจ้าของที่ดินนั่งจุมปุ๊กอยู่เหมือนเราก็ได้นะ



พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/Bmhoek1goiRb3HyAA
11 วัดเขาถ้ำประทุน
เดินทางกันต่อ ที่วัดเขาถ้ำประทุน ไฮไลต์คือ พระอุโบสถสร้างด้วยรากไม้ มูลค่ากว่า100 ล้านบาท





วัดเขาถ้ำประทุน อยู่อำเภอบ้านไร่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2534 มีเนื้อที่ประมาณ 200 กว่าไร่ ตั้งอยู่หมู่ 12 ตำบลทัพหลวง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี บริเวณภูเขา 2 ลูก คือ เขาถ้ำประทุน และเขาสลักได ส่วนถ้ำมีด้วยกัน 3 ถ้ำ ได้แก่ ถ้ำประทุน ถ้ำแสงจันทร์ และถ้ำส่องดาว
ในอดีตถ้ำดังกล่าวนี้จะมีพระอริยสงฆ์จำนวนหลายรูปได้มาบำเพ็ญภาวนา และต่อมาได้มีพระธุดงค์เข้ามาอยู่จำพรรษา 1 พรรษาหรือ 2 พรรษาแล้วก็จากไป ไม่เคยมีพระที่จะอยู่ประจำหรือถาวร
จนกระทั่ง พ.ศ.2534 พระอาจารย์บุญยืน ปริชาโน (เจ้าอาวาสปัจจุบัน) ได้เดินธุดงค์มาพักภาวนาจำพรรษา และเห็นว่าเป็นที่สงบร่มรื่นสัพปายะเหมาะสำหรับบำเพ็ญภาวนา จึงดำริสร้างขึ้นเป็นที่ปฏิบัติธรรม เมื่อ พ.ศ.2545 ได้รับการแต่งตั้งเป็นวัดอย่างถูกต้องเมื่อ พ.ศ.2548 และได้สร้างเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาทไว้บนเขา


สำหรับพระอุโบสถสร้างด้วยรากไม้ มูลค่ากว่า100 ล้านบาท สวยงามที่สุดในประเทศไทย ที่ใช้รากไม้ตะเคียนทอง ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ประดู่ รากไม้กันเกรามาตบแต่ง เกาะสลักพุทธประวัติอย่างสวยงาม ซึ่งขณะนี้มีการก่อสร้างที่ยังไม่แล้วเสร็จ พระอุโบสถรากไม้แห่งนี้ได้เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2558

ปัจจุบันทางวัดได้จัดหาวัสดุ และหาซื้อรากไม้มาจากตามสถานที่ต่างๆ และมีญาติโยมได้ถวายไม้หัวไร่ปลายนามาให้ ทางวัดจะนำรถและคนงานไปขุดแล้วลากมาไว้ที่วัด
ทางวัดได้นำปีกไม้ที่แกะสลักแล้วมาวางไว้บนชั้น 2 ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมทำบุญแผ่นละ 100 บาท สามารถเขียนชื่อตัวเอง และญาติๆ ที่จะอุทิศส่วนกุศลไปให้ไว้ด้านหลังไม้ที่แกะสลักแล้วนำขึ้นไปติดบนเพดานฝ้า
มีงานเกาะสลักเป็นภาพพระเกจิชื่อดังต่าง ๆ สำหรับจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวนำไปกราบไหว้หรือนำไปเป็นของขวัญของฝากได้อีกด้วย เพื่อทางวัดจะได้นำเงินจากการจำหน่ายรูปไม้เกาะสลัก นำเงินมาสร้างพระอุโบสถรากไม้
พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/kCg6BMaRikchaNFh6
12เขื่อนกะเสียว

แล้วก็มาถึงเขื่อนกะเสียว ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านนาตาปิ่น หมู่ที่ 3 ตำบลด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ในพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากระเสียว อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเขื่อนดินที่เก็บกักน้ำสร้างกั้นลำห้วยกระเสียว มีความยาว 4,250 เมตร สูง 32.5 เมตร กักเก็บน้ำจำนวนกว่า 240 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นเขื่อนดินที่ความยาวที่สุดเป็นอันสองของประเทศไทย รองจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์





จุดที่แนะนำสำหรับชมพระอาทิตย์ตก คือ บริเวณสันเขื่อน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องเดินขึ้นบันไดจากลานจอดรถด้านล่างไปยังจุดชมทิวทัศน์ เมื่อไปถึงบริเวณด้านบนก็จะมองเห็นวิวที่สวยงามไกลสุดลูกหูลูกตาไปจนถึงเขาพุเตย

เขื่อนกะเสียว เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาหลากหลายชนิด ได้แก่ ปลานิล ปลาบึก และสัตว์น้ำอื่น ๆ ทั้งยังเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่สวยงามมากอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี
พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/K3tCF3pTsJqKw79Z7
13 พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ (หลวงพ่ออู่ทอง)
มาปิดท้ายทริปกันที่สุพรรณบุรี ที่ วัดเขาทำเทียม สันนิษฐานว่าเป็นวัดแห่งแรกของไทย หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 300 ปี เป็นที่ตั้งของ “พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ” พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาขนาดใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ปางโปรดพุทธมารดา เป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิ แกะสลักด้วยหินธรรมชาติ ขนาดความสูง 108 เมตร ฐานกว้าง 88 เมตร หน้าตักกว้าง 65 เมตร สร้างขึ้นบนผาสูงใหญ่เสียดฟ้าที่มีชื่อว่า “ผามังกรบิน” จากดำริของพระเทพสุวรรณโมลี

จากข้อมูลบอกไว้ว่า … มีหลักฐานจากกรมศิลปากรระบุว่า ในอดีตพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ และเนื่องจากเดิมที่แห่งนี้เคยเป็นเขตสัมปทานระเบิดภูเขาทำโรงโม่หิน ก่อนจะหมดสัญญาและทิ้งให้รกร้าง ทางองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. จึงเข้ามาปรับทัศนียภาพด้านหน้าองค์พระให้สวยงามน่ามอง


เมื่อเดินมาที่ด้านหลังองค์พุทธรูปจะพบกับอุโมงค์ขนาดใหญ่ ความกว้าง 20 เมตร ความลึก 50 เมตร ด้านในมีพระแม่ธรณีบีบมวยผมประดิษฐาน รวมถึงพระพุทธรูปต่าง ๆ ประดิษฐานที่เปิดให้ผู้คนเข้ามาสักการะบูชาขอพรเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจในวันสำคัญต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา


เราปิดทริปกันที่ จังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนจะเดินทางมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ
พิกัดที่ตั้ง https://maps.app.goo.gl/K3tCF3pTsJqKw79Z7
คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ กล่าวปิดท้ายทริปในครั้งนี้ว่า “ เมืองอุทัยมีจุดที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรมประเพณี อารยธรรมเก่าแก่ โดยเฉพาะเป็นเมืองชนกนาถ ยังมีพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนฯ

การมาอุทัยธานี ถือว่าเป็นการเปิดเมืองรองให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เรามีเมืองที่น่าสนใจมากมาย ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง หลายๆเมืองในประเทศไทยเดี๋ยวนี้ สำคัญและโดดเด่นมากกว่าเมืองหลักด้วยซ้ำ ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้พี่น้องคนไทย ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปที่เข้ามาประเทศไทยได้รู้จักเมืองไทยมากขึ้น ให้คนไทยรู้จักเมืองไทยมากขึ้น
อุทัย เที่ยวได้ทั้งปี เที่ยวป่าหน้าฝนได้บรรยากาศได้ความงดงาม ได้หลายอย่างในจิตใจ อยากให้มาอุทัยให้เข้าถึงจริงๆ ซึ่งเที่ยวเมืองไทยทำให้เราได้สัมผัสความเป็นไทยมากขึ้น”
ด้าน คุณสัมพันธ์ สุภาภักดี ผอ.ททท. สำนักงานอุทัยธานี ฝากเชิญชวนร่วมกิจกรรมเดือนสิงหาคมนี้กับแคมเปญ เผย สิงหาชวนแม่ทานข้าวที่อุทัยธานี ”ชวนแม่มาทานข้าวทานปลาจังหวัดอุทัยธานี เพียงแค่ว่าท่านมาทานอาหารหรือเข้าที่พัก เพียงแค่โชว์ใบเสร็จ 500 บาทต่อร้านค้าที่ร่วมรายการรับทันทีเมนู ปลาแรดผอ. ฟรี 1 จาน หลายท่านสงสัยว่าเมนูนี้คืออะไร ติดต่อถามที่เพจ ททท. อุทัยธานี”


… กองบก. บีทริปนิวส์ อยากให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส …ได้อิ่มอกอิ่มใจในมิตรภาพ ….ได้สัมผัสกับความสงบงามของเมืองตามอารยวิถี .. มาร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ “สุขทันที ที่เที่ยวอุทัยธานี สุพรรณบุรี” กัน เหมือนเช่นที่เราได้รับ …แม้เพียง 4 วัน 3 คืน ก็ตาม
ทริปหน้าจะนำเสนอที่ไหนต่อไป โปรดติดตามได้ทาง www.btripnews.net , Facebook : BTripNews
ขอขอบคุณ
ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นาริฐา จ้อยเอม เรื่อง / ภาพ
