วิศวฯ จุฬาฯ จับมือ ญี่ปุ่น เสริมสมรรถภาพโครงสร้างพื้นฐานไทย พร้อมรับมอบระบบทดสอบความล้ามูลค่า 19 ล้าน
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการเสริมสมรรถภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย (The Project for Technology Development on Life Time Management of Road and Bridge for Strengthening Resilience in Thailand) ความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมทางหลวง และมหาวิทยาลัยวาเซดะ ญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และ Japan Science and Technology Agency (JST)
งานแถลงข่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ณ ห้อง Auditorium TRUELAB อาคาร 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ โดยมี รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน จากนั้นนายพลเทพ เลิศวรวนิช ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนางานทาง กรมทางหลวง Mr. Ryoichi Kawabe, Senior Representative, JICA Thailand office กล่าวถึงความร่วมมือในโครงการนี้ ภายในงานมีพิธีรับมอบระบบทดสอบความล้า มูลค่า 19 ล้าน สำหรับวัดความทนทานในการรับแรงกระแทกของวัสดุโครงสร้างอาคารและสิ่งก่อสร้าง โดยมี Prof. Dr. Sato Yasuhiko, roject Investigator, Waseda University ศ.ดร.เกษม ชูจารุกุล หัวหน้าภาควิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ รศ.ดร.พูลศักดิ์ เพียรสุสม ผู้อำนวยการโครงการ ภาควิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมในพิธีรับมอบครั้งนี้ และมีการทดลองการใช้งานระบบทดสอบความล้าด้วย
รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยถึงโครงการ The Project for Technology Development on Life Time Management of Road and Bridge for Strengthening Resilience in Thailand ว่าโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และ Japan Science and Technology Agency (JST) ซึ่งเป็นองค์กรหลักจากประเทศญี่ปุ่น มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและเสริมสมรรถภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทย เพื่อเพิ่มความทนทานของโครงสร้างถนนและสะพานในประเทศให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 5 ปี (เมษายน 2565 – มีนาคม 2570) ภายใต้โครงการนี้ได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่น โครงการเสริมกำลังสะพานในบริเวณลาดพร้าวและบางวัว ซึ่งเป็นความร่วมมือกับกรมทางหลวง นอกจากนี้ยังมีทุนสำหรับนิสิตและบุคลากรเพื่อไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการส่งต่อเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ อีกด้วย
สำหรับระบบทดสอบความล้าของวัสดุ หรือเครื่อง Actuator มูลค่ากว่า 19 ล้านบาทนั้น รศ.ดร.วิทยากล่าวว่าเครื่องนี้สามารถนำไปใช้ในการทดสอบความทนทานของวัสดุที่ต้องรับแรงกระแทกหรือน้ำหนักซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น คานคอนกรีต หมอนรองรถไฟ และวัสดุอื่นๆ ที่ใช้ในงานโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องนี้ไม่เพียงแต่ใช้ในโครงการเท่านั้น แต่ยังสามารถให้บริการทดสอบวัสดุในทางวิชาการแก่หน่วยงานต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น กรมทางหลวงหรือบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ก็สามารถขอใช้บริการในการทดสอบวัสดุเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความปลอดภัยในงานก่อสร้างได้
คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เปิดโอกาสให้กับนิสิต นักวิจัย รวมถึงกลุ่มผู้สนใจในด้านโครงสร้างพื้นฐานและวิศวกรรม โดยได้จัดสรรทุนการศึกษาและโอกาสในการศึกษาต่อในต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการฝึกอบรมและจัดกิจกรรมวิชาการที่เปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมียุทธศาสตร์มุ่งเน้นการสร้างผู้นำแห่งอนาคตและการวิจัยที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โครงการนี้เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยนวัตกรรมชั้นนำ โดยการนำงานวิจัยและนวัตกรรมทางวิศวกรรมมาใช้แก้ปัญหาในระดับโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร โครงการนี้มีส่วนสนับสนุนพันธกิจของมหาวิทยาลัยในการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ผ่านการมีส่วนร่วมของนิสิตและบุคลากรในกระบวนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในอนาคต
“โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการนำความรู้ทางวิศวกรรมมาใช้แก้ปัญหาในระดับประเทศ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตในการเรียนรู้และทำงานร่วมกับหน่วยงานระดับนานาชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสามารถประเมินและวัดผลที่เกี่ยวข้องกับ World Impact Ranking ได้อย่างรวดเร็ว” คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวทิ้งท้าย