Mitsubishi Electric ร่วมกับพันธมิตร เดินหน้าผลักดันนวัตกรรมดิจิทัลต่อเนื่อง ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ก้าวข้ามกับดัก “ภาษีคาร์บอน”
บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าแนะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเร่งผลักดันการลดคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลาสติกและยางซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษี ภายใต้แนวคิด “Drive SUSTAINABILITY in Manufacturing by DIGITALIZING AND DECARBONIZING for Plastic Industry” ในงาน พลาสติกแอนด์รับเบอร์ไทยแลนด์ 2023 (Plastic & Rubber Thailand 2023) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 10 – 13 พฤษภาคม 2566 ณ ไบเทค บางนา นายวิเชียร งามสุขเกษมศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) เผยว่า "ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Mitsubishi Electric ได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตร Ecosystem พัฒนาและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล (Digitization) ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอย่างต่อเนื่อง ให้พร้อมรองรับการก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Decarbonizing) เพื่อให้ธุรกิจเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ “ภาษีคาร์บอน” หรือการเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนจะกลายเป็นมาตรการสำคัญทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดสหภาพยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ยังได้ประกาศให้หน่วยงาน องค์กรอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทราบแล้วว่า ประมาณปี 2568 ทุกองค์กรจะต้องถูกคิดภาษีคาร์บอน ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งศึกษา ลงทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตสินค้าเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนหรือก๊าซเรือนกระจก รวมถึงจัดทำระบบการเก็บข้อมูลด้านการลดหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน เพื่อรักษาโอกาสทางการค้าและรวมถึงเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก และรักษาฐานลูกค้าในต่างประเทศและเตรียมรองรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจำพวกพลาสติกและยางซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีคาร์บอน การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน พลาสติกแอนด์รับเบอร์ไทยแลนด์ 2023 (Plastic & Rubber Thailand 2023) ในครั้งนี้ จึงเป็นความร่วมมือในการผนึกกำลังของ Mitsubishi Electric และกลุ่มพันธมิตรในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกและยางให้ยกระดับการพัฒนาสู่ความยั่งยืนของโลก ดังนั้นเพื่อชี้นำแนวทางในการก้าวข้ามกับดักภาษีคาร์บอนดังกล่าว กิจกรรมในบูธของเราจึงมีการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลที่หลากหลายให้แต่ละอุตสาหกรรมได้เลือกนำไปใช้ตามความเหมาะสม รวมทั้งได้แนะนำ SCADA GENESIS64™ ซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่พัฒนาโดย Mitsubishi Electric ที่จะช่วยวิเคราะห์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมต่าง ๆ นำเสนอด้วยการแสดงภาพจำลองการปล่อยคาร์บอนแบบ Real-time ได้ทั้งรายวัน รายเดือน และรายปี เพื่อให้นำไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงระบบการผลิต ควบคุมการใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ให้เกินค่ามาตรฐานซึ่งจะนำไปสู่การได้รับการยกเว้นภาษี การลดภาษี หรือสร้างรายได้ขายเป็นคาร์บอนเครดิตให้กับโรงงานอื่น ๆ ที่ปล่อยคาร์บอนเกินมาตรฐานกำหนด นอกจากนี้ยังสามารถคำนวณค่าภาษีที่องค์กรหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ ต้องจ่ายจริง หรือคำนวณรายได้จากการขายเป็นคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย" นอกจากนี้ ภายในบูธยังได้จัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล โรงงานต้นแบบ แนวทางพัฒนาและการให้คำปรึกษาจากกลุ่มพันธมิตรในโซนกิจกรรมพิเศษ Digitalizing & Decarbonizing Ecosystem รวมถึงการเจาะลึกวิสัยทัศน์ผู้นำองค์กรระดับประเทศ ในหัวข้อ “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกและยาง ยกระดับการพัฒนาสู่ความยั่งยืนของโลก” โดยมีนายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการ สถาบันพลาสติก นายไกรศรี ภัณฑ์กิจนิรันดร ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส แผนกลยุทธ์และความยั่งยืน สังกัด กลยุทธ์แผนและพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติร่วมงาน ทั้งนี้การจัดงานของ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ในครั้งนี้จะนำไปสู่การยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตของไทยให้มีความทันสมัยเป็นระบบอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน รวมถึงต้นทุนการผลิตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพิ่มโอกาสและความสามารถทางการแข่งขันได้ในตลาดโลก เป็นโรงงานอัจฉริยะภายใต้คอนเซ็ปต์ e-F@ctory ที่พร้อมตอบสนองแนวคิดสังคมไร้คาร์บอนที่แสดงถึงความสำเร็จที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่ง SCADA GENESIS64™ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวข้ามกับดักภาษีคาร์บอนในอนาคต