ผลการศึกษาวิจัยใหม่ของ Qualtrics เผยถึงแนวโน้มของการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงาน ในประเทศไทย ปี 2567 ในขณะที่พนักงานยังคงประสบกับการพัฒนารูปแบบการทำงานแบบผสมผสานท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รายงานแนวโน้มการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงาน ประจำปี 2567 ของ Qualtrics ได้เผยให้เห็นว่าตัวชี้วัดการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงานในประเทศไทย ได้ลดลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
โดยอ้างอิงจากคำตอบของพนักงานเกือบ 37,000 คนทั่วโลก รวมถึงคำตอบมากกว่า 1,000 คนจากประเทศไทย พบว่าตัวชี้วัดด้านการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงานในลำดับต้น ๆ ทั้งหมดได้ลดลง นับตั้งแต่จุดสูงสุดในปี 2566 เช่น การมีส่วนร่วม, สิ่งที่บริษัททำได้ดีเกินความคาดหวังของพนักงาน, ความตั้งใจที่จะอยู่ทำงานต่อ, การยอมรับในองค์กร รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- การมีส่วนร่วม ปี 2567 สัดส่วน 76% (ทั่วโลก 68%), ปี 2566 สัดส่วน 82%, ปี 2565 สัดส่วน 77% และปี 2564 สัดส่วน 78%
- สิ่งที่บริษัททำได้ดีเกินความคาดหวังของพนักงาน ปี 2567 สัดส่วน 47% (ทั่วโลก 38%), ปี 2566 สัดส่วน 58%, ปี 2565 สัดส่วน 47% และปี 2564 สัดส่วน 33%
- ความตั้งใจที่จะอยู่ทำงาน 3 ปีขึ้นไป ปี 2567 สัดส่วน 76% (ทั่วโลก 65%), ปี 2566 สัดส่วน 82%, ปี 2565 สัดส่วน 76% และปี 2564 สัดส่วน 82%
- การยอมรับในองค์กร ปี 2567 สัดส่วน 82% (ทั่วโลก 73%), ปี 2566 สัดส่วน 87%, ปี 2565 สัดส่วน 82% และปี 2564 สัดส่วน 84%
- ความเป็นอยู่ที่ดี ปี 2567 สัดส่วน 75% (ทั่วโลก 72%), ปี 2566 สัดส่วน 84%, ปี 2565 สัดส่วน 80% และปี 2564 สัดส่วน 80%
แนวโน้มของตัวบ่งชี้การสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงานนี้ สะท้อนให้เห็นว่าทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคะแนนลดลงในประเทศมาเลเซียและฟิลิปปินส์ และหยุดชะงักในสิงคโปร์ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่องค์กรต่าง ๆ จะต้องกลับมามุ่งเน้นกับการยึดคนเป็นศูนย์กลางอีกครั้ง
ดร. เซซิเลีย เฮอร์เบิร์ต ประธาน XM Catalyst จากสถาบัน Qualtrics XM กล่าวว่า ในขณะที่เศรษฐกิจมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพและการพัฒนา การสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงาน จึงเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญที่สุดในการจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างการมีส่วนร่วมของพนักงานและผลการดำเนินงานขององค์กร ตั้งแต่นวัตกรรมและความสามารถในการทำกำไร ไปจนถึงการบริการลูกค้าที่ดีขึ้นและผลลัพธ์ด้านสุขภาพของพนักงาน
ซึ่งองค์กรที่ให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นศูนย์กลาง และสามารถทำให้ทีมของตนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นองค์กรที่โดดเด่นในปีต่อๆ ไป
แนวโน้มการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงานในประเทศไทย ปี 2567
นอกเหนือจากการเน้นย้ำถึงสถานะของการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงานในประเทศไทย ปี 2567 แล้วทีมผู้เชี่ยวชาญของ Qualtrics ยังได้วิเคราะห์สิ่งที่ค้นพบในการศึกษานี้ โดยเผยแนวโน้มที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน ดังนี้
• พนักงานชอบการเข้าออฟฟิศบ้างเป็นครั้งคราว มากกว่าทำงานที่บ้านตลอดเวลา แต่ไม่ใช่การเข้าออฟฟิศทั้ง 5 วัน
• พนักงานอยากให้ AI เข้ามาช่วยเหลือพวกเขามากกว่าประเมินพวกเขา
• พนักงานระดับแนวหน้าไม่มีความสุข ไม่ได้รับการสนับสนุนและไว้วางใจน้อยที่สุด
• ช่วงเริ่มงานใหม่ที่ควรจะรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นได้หายไป
• พนักงานสามารถแลกเปลี่ยนและพูดคุยเรื่องการทำงานผ่านทางอีเมลได้อย่างสบายใจ แต่มีความลังเลที่จะโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
พนักงานชอบการเข้าออฟฟิศเป็นครั้งคราว มากกว่าทำงานที่บ้านตลอดเวลา แต่ไม่ใช่การเข้าออฟฟิศทั้ง 5 วัน
ผลการวิจัยของ Qualtrics เกี่ยวกับจำนวนวันที่พนักงานควรทำงานในออฟฟิศ ได้แสดงให้เห็นว่าตัวชี้วัดที่สำคัญของการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีให้พนักงานเชิงบวกนั้นสูงที่สุดสำหรับพนักงานที่มีตารางการทำงานแบบผสมผสาน โดยมีระดับการมีส่วนร่วมและความตั้งใจที่จะอยู่ทำงานต่อมีระดับสูงสุด เช่นเดียวกับความรู้สึกของความเป็นอยู่ที่ดีและการยอมรับในองค์กร เมื่อเปรียบเทียบกับพนักงานที่ทำงานเต็มเวลาในออฟฟิศ หรือไม่ได้เข้าทำงานในออฟฟิศเลย
- ไม่ได้เข้าทำงานในออฟฟิศเลย พบว่า การมีส่วนร่วม มีสัดส่วน 74%, ประสบการณ์และความคาดหวัง สัดส่วน 47%, ความตั้งใจที่จะอยู่ทำงาน 3 ปีขึ้นไป สัดส่วน 63%, การยอมรับในองค์กร สัดส่วน 79% และความเป็นอยู่ที่ดี สัดส่วน 71%
- เข้าทำงานในออฟฟิศ 2-4 วัน (เฉลี่ย) การมีส่วนร่วม สัดส่วนเฉลี่ย 86%, ประสบการณ์และความคาดหวัง สัดส่วน 55, ความตั้งใจที่จะอยู่ทำงาน 3 ปีขึ้นไป สัดส่วน 79%, การมีส่วนร่วม สัดส่วน 87% และคุณภาพชีวิตที่ดี สัดส่วน 83%
- เข้าทำงานในออฟฟิศ 5 วัน การมีส่วนร่วม สัดส่วน 69%, ประสบการณ์และความคาดหวัง สัดส่วน 41%, ความตั้งใจที่จะอยู่ทำงาน 3 ปีขึ้นไป สัดส่วน 75%, การมีส่วนร่วมสัดส่วน 78% และความเป็นอยู่ที่ดี สัดส่วน 71%
พนักงานอยากให้ AI เข้ามาช่วยเหลือพวกเขามากกว่าประเมินพวกเขา
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแรงงานจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งที่เปิดรับ AI ในที่ทำงาน โดย 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขายินดีให้ AI เข้ามาช่วยในการทำงาน (เทียบกับทั่วโลก 42%)
โดยพนักงานจะรู้สึกสบายใจมากขึ้น เมื่อพวกเขารู้สึกว่าสามารถควบคุม AI ได้ เช่น การเขียนงานโดย AI มีจำนวน 74% ของพนักงานจะใช้ AI ในเรื่องนี้, ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของพนักงาน 74% และการติดต่อฝ่ายสนับสนุนในหน้าที่ต่างๆ 71% – มากกว่าในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การศึกษา 58% หรือการตัดสินใจจ้างงาน 44% โดยการเปรียบเทียบระหว่าง ความพอใจในการใช้ AI กับความไม่พอใจ มีสัดส่วนดังนี้
- น่าจะมี AI ช่วยงานเขียน พอใจ 74%, ไม่พอใจ 8%
- น่าจะมี AI เป็นผู้ช่วยส่วนตัว พอใจ 74%, ไม่พอใจ 8%
- จะขอการสนับสนุนจากบอท AI เมื่อติดต่อกับฝ่ายสนับสนุนภายใน พอใจ 71%, ไม่พอใจ 9%
- อยากจะได้รับการฝึกสอน หรือคำแนะนำเกี่ยวกับบอท AI เพื่อการเติบโตส่วนบุคคล พอใจ 63%, ไม่พอใจ 11%
- ต้องการการศึกษาอย่างเป็นทางการที่สอนโดยบอท AI พอใจ 58%, ไม่พอใจ 15%
- น่าจะได้รับการประเมินประสิทธิภาพของบอท AI พอใจ 62%, ไม่พอใจ 15%
- อยากจะถูกสัมภาษณ์สำหรับงานใหม่ หรือเลื่อนตำแหน่งโดยบอท AI พอใจ 44%, ไม่พอใจ 29%
พนักงานระดับแนวหน้าไม่มีความสุข ไม่ได้รับการสนับสนุนและไว้วางใจน้อยที่สุด
พนักงานระดับแนวหน้า เช่น พนักงานแคชเชียร์ พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร และพนักงานค้าปลีก มีความสำคัญต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ และมักเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด แต่เมื่อเทียบกับพนักงานทั้งหมดแล้ว ขวัญและกำลังใจของพนักงานเหล่านี้ยังอยู่ในระดับต่ำที่สุด พวกเขาไม่รู้สึกว่าความต้องการในเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการขั้นพื้นฐานได้รับการตอบสนอง ขาดการสนับสนุนในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และรู้สึกว่าไม่สามารถเสนอการเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินการต่างๆ ได้
เปรียบเทียบระหว่างพนักงานระดับแนวหน้ากับพนักงานไม่ใช่ระดับแนวหน้า ในเรื่องความสุขกับเงินเดือนและสวัสดิการ มีสัดส่วน 67% : 77%, ความรู้สึกพร้อมที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงาน มีสัดส่วน 78% : 82%, ความรู้สึกท้าทายต่อการทำงานแบบเดิมๆ มีสัดส่วน 70% : 79% และไว้วางใจผู้นำ มีสัดส่วน 73% : 82%
Post Views: 31