Update Newsการตลาดธุรกิจธุรกิจ-เศรษฐกิจอสังหาฯเศรษฐกิจ

WDC เดินกลยุทธ์เพิ่มช่องทางขายครึ่งปีหลัง Relocate สาขาภูเก็ต เล็งเปิดแฟลกชิปใหญ่สุด สร้างยอดทะลุ 1,000 ล้าน

WDC หรือ เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง ชูกลยุทธ์เพิ่มช่องทางขาย ทุ่ม 15 ล้าน ย้ายสาขาภูเก็ตไปทำเลใหม่ “ไพร์มโลเกชั่น” พร้อมเล็งเปิดแฟล็กชิปสโตร์ พื้นที่ใหญ่สุดในช่วงปลายปี เดินหน้าสร้างยอดขายทะลุ 1,000 ล้าน เติบโต 25% หลังเห็นสัญญาณบวกตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 ขณะที่ตลาดวัสดุตกแต่งพื้นและผนังแนวโน้มสดใสหลังผ่าน COVID-19 กลับมามีมูลค่ากว่า 30,000 ล้าน

นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WDC ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่งพื้นและผนังระดับพรีเมียม เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯ จะสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยการใช้กลยุทธ์การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้น ทั้งกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา นักออกแบบ และลูกค้าทั่วไป (End-user) โดยจะมุ่งเน้นขยายช่องทางการจัดจำหน่ายตลาดในประเทศ และเตรียมความพร้อมขยายตลาดต่างประเทศในอนาคตด้วย

สำหรับตลาดภายในประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลักอยู่ 3 ช่องทาง ได้แก่ การค้าส่ง การขายเข้าโครงการ และการค้าปลีก ซึ่งมีโชว์รูมสินค้าของบริษัทรวม 8 สาขา ได้แก่ สาขา Crystal Design Center (CDC) สาขานิมิตใหม่ สาขาหาดใหญ่ สาขาเชียงใหม่ สาขาภูเก็ต สาขาบางนา สาขาพัทยา และสาขาขอนแก่น ซึ่งในช่วงปลายปีนี้ บริษัทยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่จะเป็นรูปแบบแฟลกชิพสโตร์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเนื้อที่รวมประมาณ​ 1,300-1,400 ตารางเมตร



ล่าสุด สาขาจังหวัดภูเก็ต บริษัทได้เปิดโชว์รูม WDC บนทำเลใหม่ บนถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นไพร์มโลเกชั่น และมีขนาดพื้นที่โชว์รูมใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 5 เท่า ด้วยขนาดพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตร จากเดิมที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทใช้งบลงทุนไปกว่า 15 ล้านบาท เนื่องจากต้องการรองรับกับความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าในจังหวัดภูเก็ตและใกล้เคียง ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด





โดยโชว์รูม WDC แห่งใหม่ของจังหวัดภูเก็ต ยังคงออกแบบและตกแต่ง ภายใต้ 3 DNA สำคัญของบริษัท ที่ประกอบด้วย นวัตกรรม (Innovation) ความสวยงามจากการออกแบบ (Design) และความคุ้มค่า (Value) หรือราคาที่เหมาะสม ด้วยการออกแบบโชว์รูมให้โชว์รูม ตอบสนองความต้องการใช้สินค้า และมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดี ในการเลือกซื้อสินค้ากลุ่มกระเบื้องและวัสดุตกแต่ง พื้นและผนัง ภายในโชว์รูมจะมีพื้นที่แสดงสินค้า ห้องจัดแสดงการใช้งานสินค้าจริง (Mock Up Room) เพื่อให้ลูกค้าเกิดแรงบันดาลใจ และสร้างจินตนาการในการนำเอาวัสดุไปใช้งานให้เหมาะสมกับความของต้องการของกลุ่มลูกค้า

นอกจากช่องทางการทำตลาดภายในประเทศแล้ว ปัจจุบันบริษัทฯ ยังส่งสินค้าออกไปทำตลาดในต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยในปีหน้าบริษัทฯโฟกัสการทำตลาดในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการส่งออกให้ได้มากขึ้น ซึ่งรูปแบบการทำตลาดจะเป็นการเข้าไปถือหุ้น หรือการเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตกระเบื้องและวัสดุตกแต่งพื้นและผนัง ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าตามมาตรฐานของประเทศในยุโรป ซึ่งเป็นผู้ผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศให้ได้มากขึ้นด้วย ​และเป็นฐานผลิตสินค้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนอื่น ๆ ด้วย

นายบัณฑิต กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า มีทิศทางการเติบโตเป็นบวก ซึ่งบริษัทฯ น่าจะทำยอดขายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตในอัตรา 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเห็นทิศทางเป็นบวกจากช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้ถึง 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว ภาพรวมตลาดมีอัตราการเติบโต 10-12% โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาพัฒนาโครงการอสังหาฯ กันเพิ่มมากขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง ยังคาดว่าจะมีการเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การทำงาน และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ

นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นและผนังในปีนี้ เริ่มกลับมาเติบโตมากขึ้น 30,000 ล้านบาท จากช่วงที่ผ่านมาตลาดหดตัวลงไปเหลือมูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม เป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตลาดอสังหาฯ เริ่มมีอัตราการเติบโต และผู้ประกอบการอสังหาฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น

​สำหรับแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการบริหารจัดการ ระบบการทำงานภายใน ให้มีประสิทธิภาพและมีความสมบูรณ์ ซึ่งปัจจุบันเตรียมความพร้อมในส่วนนี้ไว้แล้ว 70-80% นอกจากนี้ บริษัทฯ มีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้างผลกำไรสุทธิให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นจึงจะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป