ในวันที่ 25 เมษายน 2561 เวลา 10.30 น. นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมด้วย นายโสภณ แก้วล้อมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (ศปก.สค.) และนักสังคมสงเคราะห์ เดินทางไปเยี่ยมหญิงสาวผู้บาดเจ็บจากการถูกแฟนหนุ่มไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊คทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และอยู่ระหว่างการพักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลนพรัตน์ รามอินทรา กม.13 แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ
นายเลิศปัญญา กล่าวว่า การมาเยี่ยมหญิงสาวผู้ได้รับบาดเจ็บในวันนี้ เป็นความตั้งใจ และอยากให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บ เพราะสิ่งที่ผู้หญิงประสบเป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของคนในสังคม และไม่ยอมรับต่อการกระทำของผู้ชายคนที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้หญิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ และจากเหตุการณ์นี้ หากเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือผู้หญิงไม่ทัน ผู้หญิงอาจจะพบเจอกับความรุนแรงจนได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ และในฐานะที่ผมทำหน้าที่ในการดูแล คุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิสตรี รวมถึงป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอยู่ด้วย ผมเห็นถึงความทุกข์ ความเจ็บปวดที่มากกว่าบาดแผลบนร่างกาย เพราะการกระทำของผู้ชายที่ถูกเรียกว่าแฟนของหญิงสาวคนนี้
นอกจากจะทำร้ายทางร่างกายของผู้หญิงด้วยความรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ถือว่ามีความผิดอาญาข้อหาพยายามฆ่า และผู้ชายที่ทำร้ายน้องยังเผยแพร่ภาพเปลือยกายของน้องและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เป็นลักษณะการไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊คอีกด้วย ถือเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
และเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของหญิงสาวซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและอยู่ในภาวะที่ไม่อาจปกป้องตนเองได้ สะท้อนถึงการขาดจิตสำนึกในการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หญิง ทั้งด้านจิตใจ ชื่อเสียง ครอบครัว สังคม หน้าที่การงาน และความเป็นส่วนตัว จึงถือเป็นการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
นายเลิศปัญญา กล่าวต่ออีกว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น ผู้ชายมีค่านิยมและเจตคติที่ไม่เหมาะสม เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชาย แนวคิดที่ว่าแฟนหรือคู่รักเป็นสมบัติของผู้ชาย ผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิง รวมทั้งจากการอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว ความเชื่อที่ว่าปัญหาความรุนแรงเป็นเรื่องส่วนตัว มักทำให้ผู้ประสบปัญหาพยายามปิดเป็นความลับ และทำให้คนในสังคมไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวและให้ความช่วยเหลือ การที่ไม่ได้รับการแก้ไขผู้ที่กระทำความรุนแรงมักมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการกระทำความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งหากมีการใช้สารเสพติด เช่นกรณีนี้ จะเป็นตัวกระตุ้นให้กระทำการโดยขาดความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น
“ผมขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือหญิงสาวที่ถูกทำร้าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสังคมมีการตื่นตัว ไม่ยอมรับ และไม่นิ่งเฉยต่อการกระทำความรุนแรง และขอให้ผู้หญิงหรือทุกคน เมื่อประสบกับปัญหาความรุนแรงให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ อย่าปล่อยให้คนรักหรือแฟนมีพฤติกรรมความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะพฤติกรรมเหล่านี้มีกระบวนการที่สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงได้ อย่าทนกับปัญหาโดยคิดว่าคนรักหรือแฟนจะเปลี่ยนพฤติกรรมเอง เมื่อประสบปัญหาหรือผู้ที่พบเห็นเด็กหรือสตรีถูกทำร้าย ขอให้รีบแจ้งได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม พม. โทรสายด่วน 1300 ซึ่งมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วบริการในภาวะวิกฤตตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมีศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว ของ สค. รวมทั้งบ้านพักเด็กและครอบครัวอยู่ทุกจังหวัด สามารถช่วยเหลือได้ เช่น การให้ที่พักอาศัยชั่วคราว การให้คำปรึกษาแนะนำ เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมสิทธิ เสรีภาพ และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันต้องได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เช่นเดียวกัน” นายเลิศปัญญา กล่าวในตอนท้าย
Post Views: 42