6 เมษายน 2567 - ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าใดนักสำหรับแฟนกีฬากอล์ฟกับสถิติการหวดรอบสุดท้ายของ สกอตตี้ เชฟเฟลอร์ ซึ่งไม่เคยตีสูงกว่าสกอร์ 68 ในการแข่งขันทุกรายการในปีนี้ และโปรกอล์ฟมือหนึ่งของโลกคว้าแชมป์อาร์โนลด์ พาลเมอร์ อินวิเตชันแนล ที่เบย์ฮิลล์ ในสัปดาห์ก่อนลงป้องกันแชมป์ที่เดอะเพลเยอร์ส แชมเปี้ยนชิพ ที่ปอนเต เวดรา บีช ฟลอริด้า (ภาพ: Getty Images)
อย่างไรก็ตาม เชฟเฟลอร์ มีสกอร์ตามหลัง ซานเดอร์ ชาฟเลเล่ ถึง 5 สโตรก เมื่อเข้าสู่การแข่งขัน 18 หลุมสุดท้ายของรายการเดอะ เพลเยอร์ส แชมเปี้ยนชิพ และพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าชัยชนะสำเร็จอีกครั้งที่สนามทีพีซี ซอว์กราส โดยทำไป 7 เบอร์ดี้ 1 อีเกิ้ล ปิดฉากที่สกอร์ 64 เป็นสถิติสกอร์ต่ำสุดในการแข่งขันรอบสุดท้ายของแชมป์เดอะ เพลเยอร์ส เทียบเท่ากับที่ เดวิส เลิฟ เดอะ เธิร์ด ทำได้ในปี 2003 และเฟร็ด คัพเพิลส์ ในปี 1996 ทั้งยังทาบสถิติ เฮนริก สเตนสัน ในปี 2009 และจัสติน เลียวนาร์ด ในปี 1998 ในการคัมแบ็คคว้าชัยโดยมีสกอร์ตามหลังมากสุดที่สุดที่สเตเดี้ยม คอร์ส ทีพีซี ซอว์กราส
ไม่เพียงเท่านั้น เชฟเฟลอร์ ยังเป็นนักกอล์ฟคนแรกที่ป้องกันแชมป์เดอะ เพลเยอร์ส แชมเปี้ยนชิพ ได้สำเร็จ โดยเมื่อปีก่อนเขามีสกอร์นำอยู่ 2 สโตรก เมื่อเข้าสู่รอบสุดท้าย และปิดฉากด้วยสกอร์ 69 ก่อนเอาชนะคู่แข่ง 5 สโตรก ขณะเดียวกันเชฟเฟลอร์ ยังเป็นนักกอล์ฟเพียงคนเดียวที่ทำผลงานตลอดการแข่งขันสี่รอบด้วยสกอร์ระดับ 60s สโตรก บนสนามที่แสนท้าทายจากผลงานการออกแบบชิ้นเอกของพีท ดาย ในการแข่งขันทั้งสองปี
ตัวแปรสำคัญที่นำเชฟเฟลอร์สู่ชัยชนะทั้งสองครั้งคือแม่นแฟร์เวย์ แม่นกรีน และพัตต์คม เขามีสถิติ Strokes Gained: Tee to Green +15.88 เป็นสถิติดีที่สุดอันดับ 3 ของตำแหน่งแชมป์รายการนี้ ส่วนอันดับหนึ่งคือ +17.17 ซึ่งเชฟเฟลอร์ ทำได้ในการคว้าแชมป์ปี 2023 โดยรอบสุดท้ายทำได้ +6.47 ก็เป็นสถิติที่ดีที่สุดต่อรอบเช่นกัน
สกอตตี้ เชฟเฟลอร์ ราชาแห่งเบย์ ฮิลล์
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลอย่างรวดเร็วสำหรับ สกอตตี้ เชฟเฟลอร์ ที่เมื่อไม่นานมานี้เขาตัดสินใจเปลี่ยนพัตเตอร์ โดยโปรกอล์ฟหนุ่มจากเท็กซัส เลือกใช้พัตเตอร์ TaylorMade Spider X ในการแข่งขันรายการอาร์โนลด์ พาลเมอร์ อินวิเตชั่นแนล ที่เบย์ฮิลล์ คลับ แอนด์ ลอดจ์ และมีสถิติการพัตต์ที่เฉียบคม รั้งอันดับ 1 ของสนาม โดยมีสถิติ Strokes Gained: Putting ในรอบสุดท้าย อยู่ที่ +3.892 ซึ่งเขาปิดฉากด้วยสกอร์ 66 คว้าแชมป์ไปครองสำเร็จ และเป็นสถิติ SG: Putting ต่อรอบที่ดีที่สุดของเขา นับตั้งแต่ทำได้ในการแข่งขันรอบที่สอง รายการไชร์เนอร์ส ชิลเดรนส์ โอเพ่น ในปี 2021 และเป็นสถิติดีที่สุดอันดับ 3 ของพีจีเอทัวร์ ในรอบสองปีที่ผ่านมา
ตลอดสัปดาห์ เชฟเฟลอร์ มีสถิติ Strokes Gained: Putting อยู่ที่ 4.347 เป็นสถิติที่ดีที่สุดของเขาในการเล่น 72 หลุม นับตั้งแต่คว้าแชมป์แรกที่รายการ ดับเบิลยูเอ็ม ฟีนิกซ์ โอเพ่น โดยพัตต์ลงทั้ง 17 ครั้งในระยะ 15 ฟุต
เชฟเฟลอร์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วง 9 หลุมสุดท้ายที่สนามเบย์ฮิลล์ ทำได้ 13 อันเดอร์ เป็นสกอร์ต่ำสุดในทุกสนาม เขารั้งอันดับ 6 ของสนามหรือดีกว่า ในส่วนของค่าเฉลี่ย Strokes Gained: Off the Tee, Approach the Green และ Putting และStrokes Gained: Total +12.33
ปีเตอร์ มัลนาติ ยุติการรอคอยที่ยาวนาน 3,095 วัน คว้าแชมป์วัลสปาร์
แน่นอนว่า ปีเตอร์ มัลนาติ คือนักกอล์ฟนอกสายตากหากพูดถึงตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์วัลสปาร์ แชมเปี้ยนชิพ ไม่เพียงเท่านั้น โปรกอล์ฟวัย 36 ปียังมีผลงานผ่านตัดตัวมาเพียง 2 ครั้ง ในการลงเล่น 8 รายการก่อนหน้านี้ และครั้งหลังสุดที่เขาได้แชมป์พีจีเอทัวร์ ก็ต้องย้อนกลับไปปี 2015 รวมระยะเวลา 3,095 วัน
แต่มัลนาติ เอาชนะความท้าทายของสนามคอปเปอร์เฮด คอร์ส ในอินนิสบรูก รีสอร์ท ในการเล่น 3 หลุมสุดท้าย หรือ “Snake Pit” ทำสกอร์ 3 อันเดอร์พาร์ โดยเฉพาะการเก็บเบอร์ดี้ระยะ 6 ฟุต ที่หลุม 17 พาร์ 3 มีความสำคัญมาก เนื่องจากคู่แข่งที่มีสกอร์ใกล้ที่สุดพลาดเสียโบกี้ในหลุมสุดท้าย
โดยก่อนหน้านี้มีเพียง วีเจย์ ซิงห์ ที่ทำสกอร์ได้ดีกว่ามินัลติ ในการเล่นใน Snake Pit คือตี 5 อันเดอร์ เมื่อครั้งคว้าแชมป์รายการนี้ในปี 2004 ขณะเดียวกันมัลนาติ ยังเป็นแชมป์วัลสปาร์ แชมเปี้ยนชิพ คนที่ 6 ที่ไม่เสียโบกี้ในการปิดฉากที่แสนท้าทายของสนาม และทำได้เยี่ยมในหลุมพาร์ 4 โดยเก็บได้ 11 อันเดอร์พาร์ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.69 และเปอร์เซนต์การทำเบอร์ดี้ หรือดีกว่า ในหลุมพาร์ 4 ก็รั้งอันดับ 1 ของสนาม
สตีเฟ่น เยเกอร์ ชื่นมื่นฉลองชัยที่เท็กซัส
สตีเฟ่น เยเกอร์ ทราบดีว่าทำอย่างไรจะตีให้สกอร์ต่ำสุด เพราะเขาเคยตี 58 สโตรก หนึ่งครั้งในการคว้าแชมป์ 6 รายการในคอร์นเฟอร์รี่ และหากโปรหนุ่มวัย 34 ปีจะคว้าแชมป์แรกในพีจีเอทัวร์ ในการเล่น 9 หลุมหลังของการแข่งรอบสุดท้ายรายการเท็กซัส ชิลเดรนส์ ฮิวส์ตัน โอเพ่น โดยร่วมก๊วนเดียวกับมือหนึ่งของโลกอย่าง สกอตตี้ เชฟเฟลอร์ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใด
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นที่สนามเมโมเรียล ปาร์ก เยเกอร์เข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายในฐานะผู้นำร่วม 5 คน และทำสกอร์ 32 ในช่วง 9 หลุมหลัง คว้าแชมป์ไปครองโดยเฉือนชนะเชฟเฟลอร์สโตรกดียว แต่ก็มีหวาดเสียวเช่นกันเมื่อเชฟเฟลอร์ ที่กำลังลุ้นคว้าแชมป์สามรายการติดต่อกัน มีโอกาสพัตต์เบอร์ดี้ระยะ 5 ฟุตเพื่อตีเสมอแล้วไปลุ้นเพลย์ออฟ
เยเกอร์เป็นผู้เล่นคนที่ 7 นับตั้งแต่ปี 2017 ที่คว้าแชมป์จากการเล่น 9 หลุมหลัง โดยมีค่าเฉลี่ย Strokes Gained: Putting +1.60 ซึ่งเป็นผลงานดีที่สุดลำดับที่ 3 ของเขาในการลงเล่น 135 รายการในพีจีเอทัวร์ โปรกอล์ฟจากเมืองมิวนิค ซึ่งปัจจุบันมาอยู่ที่คัตตานูกา ในรัฐเทนเนสซี่ ที่เขาเรียนในระดับวิทยาลัย กลายเป็นนักกอล์ฟเยอรมันคนที่สี่ต่อจาก เบิร์นฮาร์ต ลังเกอร์, มาร์ติน คายเมอร์ และอเล็กซ์ เซจก้า ที่คว้าแชมป์พีจีเอทัวร์ เขายังเป็นผู้เล่นคนที่ 5 ที่คว้าแชมป์รายการแรกในปีนี้ และเป็นผู้เล่นต่างชาติคนที่ 4 ที่มาได้แชมป์ในทัวร์ของสหรัฐอเมริกา
ออสติน เอคโครท คว้าแชมป์คอกนิแซนต์ คลาสสิค
ครั้งหลังสุดที่ ออสติน เอ็คโครท คว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์คือปี 2019 ในรายการคิวเรนเซีย คาโบ คอลลิเกต เมื่อเขาเป็นนักศึกษาปีสองของมหาวิทยาลัยโอกลาโฮมา สเตท และมาทำสำเร็จอีกครั้งที่ปาล์มบีช ในการแข่งขันรายการคอกนิแซนต์ คลาสสิค ซึ่งเจอพิษฝนเล่นงานต้องเลื่อนการแข่งขันรอบสุดท้ายมาแข่งต่อในวันจันทร์
โปรกอล์ฟวัย 25 ปีมีสกอร์นำอยู่หนึ่งสโตรก หลังแข่งไปได้ 7 หลุมที่สนามพีจีเอ เนชั่นแนล ในวันอาทิตย์ ก่อนต้องหยุดแข่งเนื่องจากฝนกระหน่ำ และมาแข่งต่อในเช้าวันจันทร์ ซึ่งเอ็คโครท ขึ้นนำตลอดก่อนคว้าแชมป์ด้วยชัยชนะเหนือคู่แข่ง 3 สโตรก ในการแข่งขันรายการที่ 50 ของเขาในพีจีเอทัวร์ นักกอล์ฟจากพีจีเอทัวร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ปิดฉากสัปดาห์ด้วยสถิติกรีนอินเรกูเลชันส์ อันดับ 1 โดยตีออน 59 หลุมจาก 72 และรั้งอันดับ 3 แม่นแฟร์เวย์ ตีเข้าแฟร์เวย์ 45 หลุมจาก 56 ส่วนค่าเฉลี่ย Strokes Gained: Tee to Green +9.01 เป็นตัวเลขค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุดของโปรกอล์ฟหนุ่มรายนี้ สถิติ Putts per GIR อยู่อันดับ 3 และอันดับ 6 Putting overall ทำไป 23 เบอร์ดี้ ซึ่งเป็นสถิติดีที่สุดอันดับ 2 ของเขาในการเล่นอาชีพ
Post Views: 44